ไขปริศนา ขั้วโลกพลิก
'ขั้วโลกพลิก' ชวนวนเหตุแผ่นดินไหว...สึนามิ?!!
ไขปริศนา 'ขั้วโลกพลิก' ชวนวนเหตุแผ่นดินไหว...สึนามิ?!!
เป็น ข่าวฮือฮาสร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้ชอบท่องอิน เทอร์เน็ตอย่างต่อเนื่องสำหรับกรณีนักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งออกมาประกาศชัด ใน ปี ค.ศ. 2012 หรืออีก 4 ปีข้างหน้า สนามแม่เหล็กโลก และดวงอาทิตย์จะมีการพลิกกลับขั้วพร้อม ๆ กัน โดยปรากฏการณ์ดังกล่าวจะส่งผลให้เกิดภัยพิบัติร้ายแรง ทั้งแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ภูมิอากาศเลวร้าย อย่างชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!!
ทำนองว่าคล้าย ๆ ตัว อย่างในอดีต นั่นคือ "ช่วงเวลาสุดท้ายของไดโนเสาร์ก่อนสูญพันธุ์"
ซ้ำ ร้ายไปกว่านั้น เวลาที่โลกกลับขั้วรังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากดวงอาทิตย์จะแผ่ลงมาเต็มที่ ทำให้เกิดความผิดปกติทางผิวหนังในทุกสรรพสัตว์ ระบบอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดในโลกจะขัดข้อง คอมพิวเตอร์จะกดรีโมตให้ขีปนาวุธเดินเครื่องเอง มนุษย์ผู้ต้องการรักษาเผ่าพันธุ์จำเป็นต้องลงไปอยู่ใต้โลกตามคำเตือนของ มนุษย์ต่างดาวที่ได้ติดต่อมาอย่างลับ ๆ
สอดคล้องกับสภาวะปัจจุบัน ที่เราก็เห็นด้วยตา หรือไม่ก็พบเจอด้วยตัวเองกับเหตุการณ์ภัยพิบัติต่าง ๆ ที่นับวันก็ยิ่งรุนแรงขึ้น พายุลูกแล้วลูกเล่า แผ่นดินไหวเกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้า
งาน นี้จริงเท็จแค่ไหน เชื่อถือได้หรือไม่ สุวภาคย์ อิ่มสมุทร นักธรณีวิทยา 7 สำนักทรัพยากรแร่ กรมทรัพยากรธรณี มีคำอธิบายอย่างเป็นเหตุเป็นผลที่เชื่อว่า อาจทำให้หลายคนค้นพบคำตอบสำหรับข่าวนี้ชัดเจนแจ่มแจ้งขึ้น
หากจะ กล่าวถึงเรื่อง ราวการสลับขั้วของแม่เหล็กโลก หลักฐานที่บ่งบอกว่าการพลิกกลับขั้วแม่เหล็กของโลกนั้นมีมาแล้วกี่ครั้งและ อยู่ในช่วงเวลาใด ได้มีการศึกษาในระดับหนึ่งแล้ว โดยเป็นการศึกษาทิศทางและความเข้มของสนามแม่เหล็กโลกโบราณที่ถูกผนึกไว้ใน หินอัคนีหรือหินตะกอนเนื้อละเอียดยุคต่าง ๆ ของโลก ซึ่งพบว่าย้อนหลังไปจากปัจจุบันจนถึง 165 ล้านปีที่แล้ว สนามแม่เหล็กโลกมีการกลับขั้วไปมาถึง 170 ครั้ง โดยมีระยะเวลาคงอยู่ของขั้วโลกในแต่ละครั้งไม่แน่นอน ตั้งแต่ 10,000 ปี ถึง 10 ล้านปี และมีระยะเวลาในช่วงระหว่างการพลิกกลับไม่เกิน 5,000 ปี !!!
สรุปแล้ว สามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากว่า โลกมีการกลับขั้วมาอย่างน้อยเกือบสองร้อยครั้งแล้ว และมีโอกาสที่จะกลับขั้วได้อีก แต่ครั้งต่อไป จะเมื่อไหร่ล่ะ !!!
หลาย สำนักพยายามทำนายถึงช่วงเวลาในการพลิก กลับขั้วครั้งต่อไปของสนาม แม่เหล็กโลก ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว โลกเป็นเสมือนปุถุชนธรรมดาที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ จึงยากที่จะบ่งชี้ได้ว่าเวลาเปลี่ยนขั้วแม่เหล็กโลกครั้งต่อไปจะเริ่มเมื่อ ไหร่และนานเท่าใด อย่างไรก็ตาม ข้อมูลการพลิกกลับขั้วครั้งสุดท้ายของโลกไม่ใช่หลายล้านปีก่อนตามข่าวที่ อ้าง แต่น้อยกว่านั้นคือเพียงแค่ 730,000 ปี ที่ผ่านมาเท่านั้นเอง (ซึ่งขณะนั้นมนุษย์ยังมีลักษณะคล้ายลิง จึงยังไม่สามารถจารึกประวัติศาสตร์ ใด ๆ ได้) จากข้อมูลสนามแม่เหล็กโบราณในหินบ่งชี้ได้ว่าช่วงเวลาก่อน 730,000 ปีที่ผ่านมา ทิศเหนือของโลกอยู่ที่ซีกโลกใต้และคงสภาพของ ขั้วโลกไว้ประมาณ 200,000 ปี ในช่วงเวลานั้นไม่พบหลักฐาน ที่แสดงถึงความแตกต่างทาง ภูมิอากาศเมื่อเทียบกับช่วง ขั้วทิศเหนือปัจจุบัน และเมื่อใกล้ถึงเวลาของการพลิกกลับขั้ว ความแรงของสนามแม่เหล็กโลกได้ค่อย ๆ ลดลง จากเดิมและมีความปั่นป่วนขึ้น เกิดช่วงเวลาของการปลอดสนามแม่เหล็กและสุดท้าย ทิศเหนือจะเปลี่ยนทิศทางไป ที่ซีกโลกเหนือและค่อย ๆ เพิ่มความเข้มสนามแม่เหล็กจนเป็นปกติ
เหตุการณ์ที่มีสภาพของขั้ว แม่เหล็กที่ยุ่งเหยิงและอ่อนแรงในช่วงรอยต่อ 730,000 ปีที่ผ่านมา ได้มีการศึกษาอย่างละเอียดเพื่อให้เกิดความเข้าใจถึงผลลัพธ์ของเหตุการณ์ใน ขณะนั้น ผลการศึกษาค่อนข้างน่าวิตกในระดับหนึ่ง นั่นคือ ได้พบลักษณะที่แสดงถึงความรุนแรงของการเคลื่อนที่ของเปลือกโลกและพบการสูญ พันธุ์ของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กในทะเลจำนวน 5 สายพันธุ์ อย่างไรก็ตาม สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั้งหมดที่ถือกำเนิดมาก่อนเหตุการณ์นั้น ต่างก็ได้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่คาดว่าจะเป็น "วิกฤติล้างโลก" นี้มาได้ โดยมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของสายพันธุ์ไปบ้างตามความเหมาะสม
ความ เลวร้ายของภูมิอากาศและการเคลื่อนไหวที่รุนแรงของเปลือกโลกในช่วงพลิกกลับ ขั้ว นักธรณีวิทยาและธรณีฟิสิกส์กลับเชื่อว่าไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้เกิดการสูญ พันธุ์ของสิ่งมีชีวิตบางสายพันธุ์ แต่ผู้ร้ายตัวจริงน่าจะเป็นลมสุริยะจากดวงอาทิตย์มากกว่า
อย่างไรก็ ตาม หากย้อนไปถึงคำถามอันเป็นปริศนาที่ว่า ในปี ค.ศ. 2012 จะเกิดการพลิกกลับขั้วแม่เหล็กโลกและมหันตภัยร้ายแรงจริงหรือ คงตอบได้ว่า ทุกอย่างที่ได้กล่าวขึ้น ดูเหมือนเป็นการบอกว่า มนุษยชาติจะถึงกาลอวสานแล้ว !!! จริงอยู่ที่ถ้าแม่เหล็กโลกเกิดการพลิกขั้ว มนุษย์จะต้องยอมรับถึงผลกระทบจากความรุนแรงทางธรรมชาติของมหันตภัยพิบัติมาก มายที่ถาโถมเข้ามา อีกทั้งรังสีคอสมิกที่แผ่เข้ามาอย่างรุนแรงในทุก ๆ 11-12 ปี แต่ความรุนแรงจะถึงขนาดที่มนุษย์จะรับไม่ได้หรือ นั่นเป็นคำถามเมื่อกลับไปนึกถึงการรอดของเผ่าพันธุ์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม จากการกลับขั้วครั้งสุดท้าย และไดโนเสาร์เองก็ผ่านช่วงการกลับขั้วของแม่เหล็กโลกมาไม่น้อยกว่า 5 ครั้งโดยที่ไม่ได้สูญพันธุ์แต่อย่างใด
เมื่อพิจารณาถึงมหันต ภัยดังที่ทำนายไว้ ข้อลบล้างที่ชัดเจนที่สุดคงเป็น "โอกาสที่จะเกิดการพลิกกลับของขั้ว แม่เหล็ก" ที่ "ผู้ที่ศึกษาข้อมูลที่ถูกต้อง" มีข้อสังเกตมากมายและน่าเชื่อถือ ประการแรกคือ ความเข้มสนามแม่เหล็ก ณ ปัจจุบัน ถึงแม้จะลดค่าลง เมื่อเทียบกับอดีตที่เคยมีการจดบันทึกไว้ แต่ก็ลดด้วยอัตราที่ช้ามาก และมีหลายครั้งที่มีการเพิ่มของแรงแม่เหล็ก ซึ่งไม่ตรงกับลักษณะการลดลงอย่างต่อเนื่องของความเข้มสนามแม่เหล็กที่เกิด ขึ้นในช่วงของการพลิกกลับขั้วครั้งสุดท้าย ดังนั้นจึงถือไม่ได้เลยว่าสนามแม่เหล็กได้ลดลง เพื่อเข้าไปสู่การกลับขั้วแม่เหล็กในระยะเวลาอัน ใกล้นี้
เท่ากับว่า การกลับขั้วของสนามแม่เหล็กโลกเกิดขึ้นแน่ แต่คงไม่ใช่ช่วงอายุของ มนุษยชาติอย่างแน่นอน !!!
แถม ท้าย สำหรับข้อสังเกตบางอย่างที่จะบ่งชี้ให้ เราเห็นว่า สนามแม่เหล็กโลก ของเราใกล้จะหมดพลังหรือยัง ข้อแรก ก็คือให้สังเกตดูเข็มทิศหรือเครื่องมืออื่น ๆ ที่ใช้พลังสนามแม่เหล็ก ถ้ายังทำงานอยู่ก็เบาใจได้เลย เพราะอีกนานเป็นร้อย ๆ ปีขึ้นไป กว่าสนามแม่เหล็กจะไม่มีเรี่ยวแรงเพียงพอที่จะเหนี่ยวนำเครื่องมือดังกล่าว นอกจากนี้ก็ลองติดตามถึงปรากฏการณ์ Quebec ณ จุดของโลกที่มีความอ่อนไหวต่อการเข้าถึงของรังสีคอสมิก ในช่วงก่อนปีที่มีการทำนาย ถึงการพลิกกลับสัก 1-2 ปี เพราะถ้าพื้นที่แถบนั้นไม่มีปัญหาเรื่องการทะลุผ่านของสนามแม่เหล็ก พื้นที่บริเวณอื่นก็ไม่มีปัญหาอะไร
เรียกได้ว่าอารยธรรมมนุษย์ยังคงอยู่และจะผ่าน ปี ค.ศ. 2012 อย่างแน่นอน นี่คือบทสรุปทางวิทยาศาสตร์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น