วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552

วิธีรักษาสิวได้ 100%

1. ตื่นเช้ามาวันแรก

...
ให้อดข้าว


2.
ข้าวกลางวันก็

...
ไม่ต้องกิน


3.
พอถึงข้าวเย็นก็

...
ไม่ต้องกิน ( อดทนหน่อยนะใกล้แล้ว )


4.
กลางคืน

...
นอนพักผ่อนให้เพียงพอ


5.
ตื่นเช้ามาอีกวันก็

...
อย่าเพิ่งกินข้าวเช้านะคะ


6.
เมื่อเราไม่ได้กินข้าวมาทั้งวัน

...
พอถึงตอนสาย.. ก็จะ หิว
.

.

.

.

.

.


สายก็จะหิวววววววววววววว......


.

.

.

.


.


'
สายก็จะหิว' = สิวก็จะหาย

ที่สุดของโลก

1.ทวีปที่ใหญ่ที่สุดในโลก - ทวีปเอเซีย

2.ทวีปที่เล็กที่สุดในโลก - ทวีปออสเตรเลีย

3.คาบสมุทรที่ใหญ่ที่สุดในโลก - คาบสมุทรอาหรับ

4.มหาสมุทรที่ใหญ่ที่สุดในโลก - มหาสมุทรแปซิฟิก

5.มหาสมุทรที่เล็กที่สุดในโลก - มหาสมุทรแอนตาร์กติก

6.ทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลก - ทะเลจีนใต้

7.ทะเลส่วนที่ลึกที่สุดในโลก - บริเวณChallenger ใกล้เกาะมาเรียนา ในมหาสมุทรแปซิฟิก

8.ทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในโลก - ทะเลสาบสุพีเรีย อยู่ระหว่างสหรัฐอเมริกา กับแคนาดา

9.ทะเลสาบน้ำเค็มที่ใหญ่ที่สุดในโลก - ทะเลสาบแคสเปียน อยู่ระหว่างทางใต้ของรัสเซียกับอิหร่าน

10.ทะเลสาบที่มีน้ำเค็มที่สุดในโลก - ทะเลสาบเดดซี อยู่ระหว่างอิสราเอลกับจอร์แดน

11.ทะเลสาบน้ำจืดที่ลึกที่สุดในโลก - ทะเลสาบไบคาล ในไซบีเรีย ประเทศรัสเซีย

12.ทะเลสาบที่ตั้งอยู่สูงที่สุดในโลก - ทะเลสาบกัลลาเซียล ในธิเบต

13.ทะเลสาบที่มนุษย์สร้างขึ้นที่ใหญ่ที่สุดในโลก - ทะเลสาบมืด เหนือเขื่อนระหว่างรัฐเนวาดากับอริโซนา

14.อ่าวที่ใหญ่ที่สุดในโลก - อ่าวเม็กซิโก

15.ปากแม่น้ำที่กว้างที่สุดในโลก - ปากแม่น้ำออฟเฟน โพรเซ็น อ๊อป ประเทศรัสเซีย

16.แม่น้ำที่ยาวที่สุดในโลก - แม่น้ำไนล์ ทวีปแอฟริกา

17.แม่น้ำที่สั้นที่สุดในโลก - แม่น้ำดี ริเวอร์ รัฐโอเรกอน ประเทศสหรัฐอเมริกา

18.แม่น้ำที่กว้างที่กว้างที่สุดในโลก - แม่น้ำอเมซอน ทวีปอเมริกาใต้

19.แม่น้ำที่เกิดอุทกภัยมากที่สุดในโลก - แม่น้ำฮวงโหหรือแม่น้ำวิปโยค ประเทศจีน

20.คลองธรรมชาติที่ยาวที่สุดโลก - คลองยุ่นโห ประเทศจีน

21.คลองที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจมากที่สุดในโลก - คลองสุเอช

22.หมู่เกาะที่มีเกาะต่างๆอยู่หนาแน่นที่สุด - หมู่เกาะอินดีส

23.ช่องแคบที่ยาวที่สุดในโลก - ช่องแคบตาต้า

24.เกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลก - เกาะกรีนแลนด์ มหาสมุทรอาร์คติค

25.ยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก - ยอดเขาเอเวอเรสต์

26.เทือกเขาที่ยาวที่สุดในโลก - เทือกเขาแอนดีส ทวีปอเมริกาใต้

27.ช่องแคบระหว่างภูเขาที่ใหญ่ที่สุดในโลก - ช่องแคบบนแกรนด์ แคนยอน รัฐอริโซน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา

28.ยอดภูเขาไฟที่สวยและสูงที่สุดในโลก - ภูเขาไฟฟูจิยามา ประเทศญี่ปุ่น

29.ทะเลทรายที่ใหญ่และร้อนที่สุด - ทะเลทรายซาฮาร่า ในแอฟริกาเหนือ

30.น้ำตกที่มีทัศนียภาพสวยงามและใหญ่ที่สุดในโลก - น้ำตกไนแองการา อยู่ระหว่างสหรัฐอเมริกา และแคนาดา

31.น้ำตกที่สูงที่สุดในโลก - น้ำตกแองเจิล ประเทศเวเนซูเอลา

32.ประเทศที่มีเนื้อที่มากที่สุดในโลก - ประเทศรัสเซีย

33.ประเทศที่เล็กที่สุดในโลก - นครรัฐวาติกัน

34.ประเทศที่มีพลเมืองมากที่สุด - ประเทศจีน

35.เมืองที่มีพลเมืองมากที่สุด - โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

36.ประเทศที่มีพลเมืองน้อยที่สุด - นครรัฐวาติกัน

37.ประเทศที่มีเกาะมากที่สุด - ฟิลิปปินส์

38.ประเทศที่มีทะเลสาบมากที่สุด - ฟินแลนด์

39.ประเทศที่มีภูเขาไฟมากที่สุด - อินโดนีเซีย

40.ประเทศที่อยู่สูงที่สุด - ธิเบต

41.ประเทศที่มีพื้นที่ต่ำที่สุด - อิสราเอล

42.ประเทศที่มีแผ่นดินไหวบ่อยที่สุด - ประเทศญี่ปุ่น

43.ประเทศที่มีภาษามากที่สุด - ประเทศอินเดีย

44.ประเทศที่มีเมืองขึ้นมากที่สุด - อังกฤษ

45.เมืองที่มีคลองมากที่สุด - เวนิส ประเทศอิตาลี

46.ประเทศที่ขุดแร่ดีบุกมากที่สุด - มาเลเซีย

47.ประเทศที่ปลูกกาแฟมากที่สุด - บราซิล

48.ประเทศที่ผลิตกระดาษมากที่สุด - แคนาดา

49.ประเทศที่ขุดเพชรได้มากที่สุด - สหภาพแอฟริกาใต้

50.ประเทศที่มีแร่เงินมากที่สุด - เม็กซิโก

ขอขอบคุณ http://community.thaiware.com/thai/index.php?showtopic=264368&mode=threaded&pid=1563389

เชื่อหรือไม่..."สาวผิวขาว"แสนสวยคนนี้ แท้จริงเป็น"คนผิวดำ" ป่วยโรคเดียวกับ"ไมเคิล แจ๊กสัน" !!!!

รื่องราวของหญิงสาวผิวดำคนนี้ อาจเป็นคำตอบหรือข้อยืนยัน สำหรับหลายคนที่มีความสงสัยเกี่ยวกับการ "เปลี่ยนสีผิว" จากผิวสีดำกลายเป็นผิวขาวของราชาเพลงป็อปผู้ล่วงลับ "ไมเคิล แจ๊กสัน" เพราะผู้หญิงคนนี้เป็นตัวอย่างสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า "โรคด่างขาว" อาการผิดปกติของผิวหนังชนิดหนึ่ง สามารถทำให้คนผิวดำ กลายเป็น "คนผิวขาว" ไปทั้งตัวได้อย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้


ทุกวันนี้ สาววัย 23 ปี ที่ชื่อว่า "ดาร์เซล เดอ วลูกท์" ต้องทาครีมกันแดดชนิดดีที่สุด ทุกวันในชีวิตของเธอ แม้ว่าวันนั้นจะไม่มีแดดออกก็ตาม เธอเป็นผู้ป่วยโรคด่างขาว กรณีหาได้ยากมาก เพราะว่าโรคนี้ทำให้เธอเปลี่ยนเป็นคนผิวขาวอย่างสมบูรณ์ และทำให้เธอต้องมีปัญหาทุกครั้งในความพยายามอธิบายความจริงว่า ที่แท้เธอเป็น "คนผิวดำ"


"ฉันเหนื่อยมากกับการพยายามอธิบายให้ใครเข้าใจว่า ฉันเกิดเป็นคนผิวดำ และพ่อแม่ของฉันมาจากประเทศทรินิแดด" ดาร์เซล กล่าวและว่า พ่อแม่ฉันเริ่มสังเกตความผิดปกติเมื่อฉันอายุ 5 ขวบ เพราะเกิดจุดขาวๆ ขึ้นที่ต้นแขนและหน้าผาก และเมื่อฉันอายุได้ 7 ขวบ ผิวหนังที่ขาฉันกลายเป็นสีขาว และเริ่มมีจุดสีขาวไปทั่วทั้งร่าง

"ดาร์เซล เดอ วลูกท์"


"ดาร์เซล" ซึ่งปัจจุบันประกอบอาชีพเป็นแฟชั่น ดีไซน์เนอร์ กล่าวต่อว่า เมื่อฉันอายุ 17 ปี ฉันกลายเป็นคนผิวขาวอย่างสมบูรณ์ ทั้งที่ไม่มีใครในตระกูลฉันเคยมีประวัติเป็นโรคด่างขาวมากก่อน ส่วนคนที่แต่งงานกับตระกูลฉัน ก็มีอาการนี้เหมือน แต่ไม่หนักแบบนี้


เมื่อถูกถามถึงอาการป่วยของไมเคิล "ดาร์เซล" เชื่อว่า "ราชาเพลงป็อป" เป็นโรคเดียวกับเธอ และมีรอยด่างขาวบนร่างกายบางส่วน ไมเคิลจึงต้องทำให้ร่างกายส่วนอื่นมีสีผิวขาวตามไปด้วย แต่เธอโชคดีที่ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น เพราะทุกส่วนมันขาวไปหมดแล้ว


ขณะที่ผู้วชาญระบุว่า กรณีแบบดาร์เซลถือว่าหาได้ยากมาก และโรคนี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้ 1 ใน 100 คนในทุกช่วงอายุ

วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2552

มนุษย์ต่างดาว

“มนุษย์ต่างดาว” โผล่กลางทุ่งนาที่เชียงราย คนแตกตื่นไปดูกันเพียบ ปรากฏโฉมให้ชาวบ้านนับสิบคนเห็นเป็นชั่วโมง แล้วลอยวับหายไปในท้องฟ้า เผยรูปพรรณมนุษย์ประหลาดมีลักษณะคล้ายคนแคระ สูงประมาณ 70 ซม. ไม่สวมเสื้อผ้าอาภรณ์ ไม่ระบุเพศ ผิวสีน้ำตาลเทา ศีรษะมนกลมโต หน้าอกแบนราบ ชาวบ้านที่เห็นกับตาแอ่นอกการันตีเรื่องนี้ไม่ได้โม้หรือเมาแต่อย่างใด

เรื่อง ราวความเร้นลับเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวที่มาเยือนโลกมนุษย์ ถูกเปิดเผยขึ้นอีกครั้งเมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 8 ก.ย. สมาชิกเครือข่ายของสถานีวิทยุกรมประมงร่วมด้วยช่วยกัน อ.เมืองเชียงราย ที่ระบุชื่อว่านายกิตติเกษม รัตนโฆษะ อายุ 30 ปี ได้โทรศัพท์เข้ามาเล่าเรื่องราวความลี้ลับกับนางเรณู วงศ์สุวรรณ ดีเจรายการ "ท่องเที่ยวอย่างสุขใจไปกับททท." ว่านายมานพ ลาวิชัย อาชีพทำนาที่บ้านห้วยน้ำราก หมู่ 5 ต.จันจว้า อ.แม่จัน จ.เชียงราย ได้พบลูกไฟประหลาดลอยมาตกกลางทุ่งนาหลังบ้าน เมื่อกลางดึกคืนวันที่ 2 ก.ย.ที่ผ่านมา แต่ไม่ได้สนใจอะไร เพราะคิดว่าเป็นปรากฏการณ์ดาวตกหรือผีพุ่งใต้

ต่อมาช่วงเช้าวันที่ 3 ก.ย. นายมานพเข้าไปดูนาข้าวตามปกติก็พบกับมนุษย์ประหลาด รูปร่างคล้ายคนแคระ สูงประมาณ 70 ซม. ไม่สวมเสื้อผ้าอาภรณ์ ไม่ระบุเพศ ผิวสีน้ำตาลเทา ศีรษะมนกลมโต ตาโตสีน้ำตาลเป็นมันวาว ไม่มีจมูก ปากบางเล็ก หน้าอกแบนราบ ลักษณะร่างกายไม่กลมมนเหมือนกับมนุษย์ คือถ้ามองจากด้านข้างจะแบนราบ โดยขณะที่พบนั้นมนุษย์ประหลาดเดินวนไปวนมาเหมือนหาสิ่งของอะไรบางอย่าง และช่วงที่นายมานพยืนดูอยู่นั้น ได้มีชาวบ้านที่ออกมาเลี้ยงวัวและคนหาปลานับ 10 คน ต่างมารวมกลุ่มยืนจ้องดูมนุษย์ประหลาด ในระยะห่างประมาณ 10 เมตร พร้อมกับวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่าง ๆ นานาว่า น่าจะเป็นมนุษย์ต่างดาวหรือไม่ก็พวกหุ่นยนต์

แม้จะตกเป็นเป้าสายตา ของชาวบ้านนับสิบคู่ แต่มนุษย์ประหลาดไม่ได้รู้สึกหวั่นไหว และยังคงเดินวนไปมาตามปกติ แล้วหันมามองชาวบ้านด้วยแววตามันวาวเป็นระยะ ๆ ผ่านไป ประมาณหนึ่งชั่วโมง มนุษย์ประหลาดจึงค่อย ๆลอยตัวสูงขึ้นจากพื้นดินไปอยู่เหนือยอดไม้ประมาณ 10 เมตร จากนั้นก็หยุดแล้วหันหน้ามองลงมายังกลุ่มชาวบ้าน ก่อนจะพุ่งลิ่วขึ้นสู่ท้องฟ้าหายลับตาไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากปรากฏเป็นข่าวแพร่กระจายออกไป ได้มีชาวบ้านจำนวนมากพากันแตกตื่นเดินทางมาสำรวจบริเวณกลางทุ่งนาดังกล่าว และพยายามหาร่องรอยหลักฐานของมนุษย์ต่างดาว แต่ก็ไม่มีใครพบ

อย่าง ไรก็ตาม นายคำมา ปิ่นทรายมูล อายุ 57 ปี และนางบัวแก้ว จันต๊ะเวง อายุ 59 ปี ทั้งสองเป็นชาวบ้านในบ้านห้วยน้ำราก หมู่ 5 ต.จันจว้า ที่เห็นมนุษย์ประหลาดกับตาตัวเอง กล่าวยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่ได้โม้หรือเมาแต่อย่างใด เพราะเห็นเหตุการณ์กันตอนเช้านานเป็นชั่วโมง และมีคนอื่น ๆ ทยอยออกมาดูกันเป็นสิบคน.

-----------------------------------------------------------

เชียงราย – “ดร.เทพนม เมืองแมน” ยันสิ่งที่ชาวบ้านห้วยน้ำราก อ.แม่จัน จ.เชียงราย พบไม่น่าจะเป็นแค่หุ่นอัดแก๊ส เพราะลอยมาแล้วลอยหายไปไหน พร้อมเตรียมพิสูจน์ภาพจานบิน หลังมีคนบันทึกได้ที่ อ.แม่จัน เมื่อ 7 ก.ย.ที่ผ่านมา

สืบเนื่องจากมีข่าวลือว่ามีชาวบ้านเห็นมนุษย์ต่าง ดาว ที่บ้านห้วยน้ำราก หมู่ 5 ต.จันจว้า อ.แม่จัน จ.เชียงราย นั้น ล่าสุด ศ.ดร.น.พ.เทพนม เมืองแมน ประธานอำนวยการฝ่ายสถาบันวิทยาศาสตร์ทางจิต ผู้ที่ศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาว และยูเอฟโอ มากว่า 10 ปี เปิดเผยว่า ตามที่นายทองม้วน โพธิชัยเลิศ สมาชิก สภาองค์การบริหารส่วนตำบลป่าสัก (อบต.) ที่บ้านเลขที่ 96 บ้านดอยคำ ม.10 ต.ป่าสัก อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ที่อยู่ห่างจากบ้านห้วยน้ำราก หมู่ 5 ต.จันจว้า อ.แม่จัน จ.เชียงราย จุดที่ชาวบ้านพบสิ่งแปลกประหลาดคล้ายมนุษย์ต่างดาว ไปทางทิศตะวันออกประมาณ 6 กม. เปิดเผยพร้อมภาพสเกตช์ว่า หุ่นยางสีส้มปนเขียว สูงประมาณ 1 เมตร ที่ลอยได้ด้วยพลังจากแก๊สหายไปจากบ้านเนื่องจากพายุพัด และอาจเป็นหุ่นที่ชาวบ้านห้วยน้ำราก ต.จันจว้า อ.แม่จัน พบแล้วคิดว่าเป็นมนุยษ์ต่างดาวมาเยือน

ในส่วนของตนเองยังไม่เชื่อว่า สิ่งที่ชาวบ้านเห็นจะเป็นแค่หุ่น เนื่องจากได้มีการตรวจสอบจากคนรู้จักในพื้นที่ อ.แม่จัน พบว่าสิ่งที่ชาวบ้านเห็นน่าจะเป็นมนุษย์ต่างดาวมาเยือน นอกจากนี้ยังมีนักธุรกิจคนหนึ่งโทรศัพท์มาเล่าว่า เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2548 ได้ไปเล่นกอล์ฟที่บริเวณ อ.แม่จัน จ.เชียงราย แล้วพบว่ามีวัตถุบินได้คล้ายจานบินมาบินวนเวียนเหนือท้องฟ้า และได้ถ่ายภาพวิดีโอไว้ด้วย ซึ่งกำลังนำภาพวิดีโอมาให้ตนที่ กทม.ในวันนี้(15 กันยายน 2548)

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาตนได้ศึกษาเรื่องราวมนุษย์ต่างดาวมากมาย และพบว่ามีจริง โดยมีภาพถ่ายยืนยันด้วยว่ามีการพบในประเทศไทย แต่ในส่วนของ อ.แม่จันนั้นยังไม่ได้เข้าไปดูเพราะช่วงนี้ยังมีงานมาก แต่ได้ติดตามข่าวจากสื่อมวลชนตลอด

“ผมคิดว่าสิ่งที่ชาวบ้านเห็นไม่ น่าจะเป็นแค่หุ่นที่อัดแก๊ส เพราะไม่น่าจะลอยมาได้ไกล 6 กม. และหลังจากลอยมาให้ชาวบ้านเห็นแล้วทำไมหายไป” ศ.ดร.น.พ.เทพนม เมืองแมน กล่าว

สำหรับบรรยากาศในพื้นที่บ้านห้วยน้ำราก หมู่ 5 ต.จันจว้า อ.แม่จัน จ.เชียงราย นายทิ คิดข้างบน เจ้าของที่นาข้าวที่ชาวบ้านพบสิ่งประหลาด กล่าวว่า วันนี้มีคนมาชมพื้นที่ในตอนเช้าและตอนบ่าย โดยมีครูนำนักเรียนบางสถาบันมาดูด้วย หลังจากมีข่าวเรื่องพบมนุษย์ต่างดาว มีผู้สนใจมาก

อย่างไรก็ตาม หลังจากเช้าวันที่ 31 สิงหาคม 2548 แล้วก็ไม่มีใครพบมนุษย์ต่างดาวอีกเลย ซึ่งตนคิดจะปรับพื้นที่บริเวณใกล้เคียงเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วย

----------------------------------------------------------
มนุษย์ต่างดาวจากดาวอังคาร และดาวศุกร์ จะบุกโลกในปี พ.ศ.2565

--------------------------------------------------------------------------------

เพิ่งไปค้นเจอมา เป็นคำบอกเล่าของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา


เมื่อ วันที่ 27-29 มิถุนายน 2540 บริษัทเดอะสแตลเลี่ยน อินโฟมีเด๊ย จำกัด ผู้ผลิตรายการ"เรื่องจริงที่เหลือเชื่อ" ซึ่งออกอากาศทุกคืนวันจันทร์เวลา 23.20 น. ร่วมกับห้างสรรสินค้าเดอะมอลล์และ ITV จัดงานสัมมนาครั้งแรกของประเทศไทยในหัวเรื่อง"มนุษย์ต่างดาว" ณ ห้อง Convention Center เดอะมอลล์บางกะปิ โดยงานจะแบ่งเป็นส่วนคือส่วนของนิทรรศการและ สมมนามนุษย์ต่างดาว

การ สัมมนาจัดขึ้นในวันที่ 29 มิถุนายน เริ่มงานเวลา 13.00 น. โดยมีนายปราโมทย์ ตรีวัฒนานนท์ เจ้าของรายการเป็นพิธีกร การสัมมนาครั้งนี้มีการฉาย VTR แสดงหลักฐานต่างๆ เกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาว จากทั่วทุกมุมโลก ฟิล์มการผ่าตัดศพมนุษย์ต่างดาว พร้อมเจาะลึกทุกปัญหาที่เกี่ยวข้องจากนักวิชาการผู้ทรง คุณวุฒิ 6 ท่านสลับกับการให้ผู้ชมได้ซักถามข้อสงสัยการแสดงความคิดเห็นหรือเล่าประสบ การณ์ที่เค
ยพบเห็น จานบินจนกระทั่งปิดการสัมมนาเวลาประมาณ 19.00 น.

ข้อมูลจากการสัมมานาครั้งนี้มีผู้ทรงคุณวุฒิในวงการวิทยาศาสตร์ได้แสดงความคิดเห็นเก
ี่ยวกับเรื่องมนุยษ์ต่างดาว ให้ผู้สนใจจำนวนมากฟัง

ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา กล่าวตอนหนึ่งว่า 14 ครั้งที่ผมเคยเห็นจานบินมีลักษณะแตกต่างกันไปบ้างมีอยู่ครั้งเดียวที่เห็นเป็นจานกลม
ๆ ที่สวิตเซอร์แลนด์นอกนั้นจะอยู่ไกลซึ่งมองเห็นไม่ชัดด้วยตาเปล่า ยกเว้นที่จังหวัดขอนแก่น ผมเห็นลักษณะเหมือนไข่สีส้มๆมีแสงสว่างของมันเอง วิ่งไปช้าๆ แต่ที่แปลกก็คือ มันมีแสงสว่างเล็กๆ 5 ดวงวิ่งไปวิ่งมารอบๆรูปไข่ที่กำลังวิ่งไป แสงนั้นเป็นแสงสีขาวๆเหลือง ๆ ไม่เหมือนยานแม่รูปไข่ นอกนั้นผมจะเห็นแสงสว่างเหมือนดาวมากกว่า คือเล็กมาก วิ่งในลักษณะไม่เหมือนกับดาว เพราะวิ่งมาด้วยความเร็วสูงแล้วก็เปลี่ยนทิศทางเป็นมุมฉาก 90 องศา โดยไม่มีการโค้งหรือช้าลงเลย
ผมฝึกสมาธิ 40 กว่าปีแล้ว ทุกครั้งผมเห็นจากบินผมจะรู้สึกมีความสงบ ความสุข ไม่ได้เกิดความวิตกกังวลความกลัวเลย มันมีพลังบางอย่างที่ผมเชื่อว่าดี

ผม จะชี้แจงว่าทำไมเขาถึงมาโลกนี้ เขากำลังจะมาบุกโลกอีก 25 ปี เขาจำเป็นต้องมาสำรวจแผนที่ในโลกนี้ว่า มีกองทัพอยู่ที่ไหน อะไรต่างๆ และเขาถึงกับวางแผนว่า มนุษย์ดาวอังคารจะบุกมาแถบเอเชีย ส่วนดาวศุกร์จะไปแถบอเมริกาและยุโรป ที่เขาจำเป็นต้องรอถึง 25 ปีเพราะขณะนี้เขายังไม่พร้อมเขาจะบุกเพียง 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น

รศ.ดร. พิชัยกล่าวว่ามนุษย์ต่างดาวมีจิตวิญญาณค่อนข้างสูง โดยปกติแล้วเขาจะไม่รุกรานใคร แต่ใครอย่ามารุกรานเขา

การ ที่จะติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวมีอยู่ทางเดียวเท่านั้นคือ ทางจิตวิญญาณและจะต้องเป็นผู้ที่มีพลังจิตสูงและข้อมูลที่ได้รับมาอาจจะแตก ต่างกัน การที่เราได้ข้อมูลมากแค่ไหนก็อยู่ที่พลังจิตของผู้นั้นว่า ส่งจิตวิญญาณไปถึงเขาและเขาจะต้อนรับอย่างไร

ที่มา http://www.pt.ac.th/ptweb/studentwe...pace/alien.html

ดร.เทพนม เชื่อมนุษย์ต่างดาวมีอยู่จริง และคงไม่มีใครฉวยสร้างสถานการณ์ ย้ำ การมาที่ อ.แม่จัน ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ล่าสุดถึงกับลงมาดูมนุษย์ตีกอล์ฟ ด้านหมอประสานเชื่อมีโลกคู่ขนานอยู่ใกล้ชิดกับโลก มนุษย์ต่างดาวอาจทำลายมิติมาโพล่ที่เชียงราย ขณะที่ราชบัณฑิตด้านวิทยาศาสตร์แนะควรดูให้ละเอียดก่อนเพราะอาจจะเป็นสิ่ง ที่ชาวบ้าน
ทำขึ้นก็ได้

จากกรณีที่ชาวบ้านหมู่ 5 บ้านห้วยน้ำราก ต.จันจว้า อ.แม่จัน จำนวนกว่า 10 คน อ้างว่าพบเห็นมนุษย์ประหลาด ที่มีลักษณะรูปร่างคล้ายมนุษย์ต่างดาวที่บริเวณทุ่งนาใกล้ลำเหมืองกลางหมู่ บ้าน เมื่อเช้าตรู่วันที่ 31 สิงหาคม ที่ผ่านมาจนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางนั้น

ศ.ดร.นพ.เทพนม เมืองแมน ประธานอำนวยการฝ่ายสถาบันวิทยาศาสตร์ทางจิต ผู้ที่ศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาว และ”ยูเอฟโอ” มากว่า 10 ปี ได้แสดงความคิดเห็นว่า โดยส่วนตัวเชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวน่าจะมาที่ อ.แม่จัน จริง เพราะภายหลังจากทราบเรื่องก็ได้ส่งผู้ที่ศึกษาเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวไปตรวจ สอบพื้นท
ี่ และพูดคุยกับชาวบ้าน

"จนได้ข้อมูลว่า เมื่อเวลาประมาณ 06.30น. ขณะที่ชาวบ้านประมาณ 15 คน กำลังจะออกไปทำนา ก็เห็นมนุษย์รูปร่างประหลาด ผิวสีเหลือง ดวงตาโตลักษณะวงรี ศีรษะลักษณะคล้ายหลอดไฟนีออน และลำตัวเล็ก แต่ชาวบ้านไม่ได้สังเกตลักษณะมือ และเท้าว่ามีกี่นิ้ว โดยมนุษย์ประหลาดได้ปรากฏตัวอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยืดลำตัวยาวสูงเท่าต้น มะขวิด ก่อนจะลอยขึ้นไปบนฟ้าและหายไป" ดร.เทพนมผู้คร่ำหวอดในการตามหาและสัมผัสกับมนุษย์ต่างดาวของประเทศไทยอธิบาย

ศ.ดร.นพ.เทพนม กล่าวต่อว่ากรณีที่เกิดขึ้นที่ อ.แม่จัน ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก เพราะก่อนหน้านี้มีผู้พบเห็นมนุษย์ต่างดาวและยูเอฟโออยู่หลายครั้ง สำหรับเขาได้มีโอกาสเห็นยานมนุษย์ต่างดาว และมีรูปที่ถ่ายเก็บไว้ได้ประมาณ 200 รูป อีกทั้งมีชาวต่างชาติที่สนใจติดต่อขอซื้อภาพดังกล่าวอยู่หลายครั้ง โดยครั้งล่าสุดขณะที่ตนกำลังตีกอล์ฟ มนุษย์ต่างดาวก็ได้ลงมาดู โดยยืนห่างจากเขาประมาณ 100 เมตรก่อนจะหายตัวไป

“เหตุที่มนุษย์ต่างดาวไม่กลัวคน เชื่อว่าเขาคงมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยกว่ามนุษย์ในการป้องกันตัว จึงไม่เกิดความกลัว และคิดว่าคงไม่มีใครมาสร้างสถานการณ์ เพราะไม่รู้จะทำไปเพื่ออะไร เรื่องนี้จึงมีความน่าสนใจ โดยเฉพาะต่างประเทศได้ให้ความสนใจในเรื่องนี้มาก” ประธานอำนวยการฝ่ายสถาบันวิทยาศาสตร์ทางจิต กล่าว

ด้าน ศ.นพ.ประสาน ต่างใจ นักวิชาการอาวุโส ซึ่งศึกษาทางด้านมิติคู่ขนาน ให้ความเห็นว่าเป็นไปได้ที่จะเป็นมนุษย์ต่างดาวจริง แต่ก็ไม่ยืนยันว่าเป็นมนุษย์ต่างดาวเต็มร้อยเพียงแต่มีโอกาสเป็นไปได้ เพราะในจักรวาลนั้นมีมิติที่ซับซ้อน มีโลกคู่ขนานที่อาจจะอยู่ห่างจากโลกเราเพียงไม่กี่มิลลิเมตรเพียงแต่เราไม่ สามารถรับ
รู้ได้ เพราะว่าเราชินในการรับรู้สิ่งที่สื่อกันด้วยความถี่คลื่นของแม่เหล็กไฟฟ้า เช่น เสียง แสง คลื่นวิทยุต่างๆ ในโลก 4 มิติของเรา ซึ่งโลกที่มีมิติมากกว่าอาจจะสื่อกันด้วยสิ่งอื่น ดังนั้นการมาให้เห็นปรากฏการณ์ดังกล่าวอาจเป็นไปได้ว่ามนุษย์ต่างดาวในโลก ที่มีมิติม
ากกว่า เช่น 6 มิติ อาจจะทำลายมิติลงเพื่อมาปรากฏให้เราเห็นก็ได้

ทั้งนี้ “หมอประสาน” เชื่อว่าสิ่งที่อยู่ในโลกที่มิติมากกว่าจะสามารถทำลายมิติเพื่อมาปรากฏในมิติที่ต่ำก
ว่า ได้ พร้อมทั้งยกตัวอย่างว่าหนังสือ “โลกคู่ขนาน” (Parallel World) ของ ดร.มิชิโอะ กากุ (Dr. Michio Kaku) นักฟิสิกส์จากซิตียูนิเวอร์สซิตีออฟนิวยอร์ก (City University of New York) ได้อธิบายถึงการมีอยู่จริงของโลกคู่ขนานด้วยทฤษฎีที่มีข้อสมมติฐานทางคณิต ศาสตร์ที่ส
มบูรณ์ อีกทั้งลักษณะของมนุษย์ต่างดาวที่ชาวบ้านบอกเล่าก็คล้ายๆ กับมนุษย์ต่างดาวที่เชื่อว่ามีอยู่จริงคือหัวโต สีเหลืองๆ เขียว เกือบเทา ขาลีบ ปากเล็ก ตาโตและสูงประมาณ 3 ฟุตซึ่งก็ใกล้เคียงกับคำบอกเล่า

ขณะเดียวกันนายนิพนธ์ ทรายเพชร ราชบัณฑิตสาขาดาราศาสตร์ให้ความเห็นว่าอย่าเพิ่งไปเชื่อว่าเป็นมนุษย์ต่าง ดาว ควรดูให้ละเอียดก่อนเพราะอาจจะเป็นสิ่งที่ชาวบ้านทำขึ้นก็ได้ เนื่องจากสิ่งเหล่านี้ก็มีสามารถทำให้มีขึ้นได้ซึ่งก็ไม่ใช่ของแปลก อย่างภาพถ่ายที่อ้างว่าเป็นยูเอฟโอเมื่อพิสูจน์แล้วก็พบว่าเป็นภาพที่แต่ง ขึ้น อีกทั้งหากเป็นมนุษย์มนุษย์ต่างดาวจริงๆ ก็ควรจะเดินทางด้วยยานอวกาศ เพราะในทางฟิสิกส์แล้วไม่สามารถเดินทางโดยไม่มียานได้ และถ้าหากมาจริงโดยไม่มียานก็อาจจะเป็นวิญญาณซึ่งเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
--------------------------------
เชียงราย - ชาว อ.แม่จัน ตื่นพบตัวประหลาดลอยขึ้นฟ้าริมทุ่งนา เชื่อเป็นมนุษย์ต่างดาว แห่ไปดูร่องรอยกันไม่ขาดสาย ด้านนายอำเภอยังงงๆ ระบุชาวบ้านยืนยันหลายคน แต่ชี้ชัดไม่ได้ว่าคืออะไร หลักฐานมีแต่ภาพสเก็ตช์ ส่วนตำรวจก็ยังไม่พบหลักฐานใดที่เชื่อว่ามีเหตุประหลาด

สืบเนื่องจากมีข่าวลือว่ามีชาวบ้านเห็นมนุษย์ต่างดาวนั้น ล่าสุดผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยังบ้านห้วยน้ำราก หมู่ 5 ต.จันจว้า อ.แม่จัน จ.เชียงราย เมื่อวันที่ 9 กันยายน 48 ที่ผ่านมา พบว่าแต่ละวันมีชาวบ้านกว่า 100 คนมาจับกลุ่มชุมนุมกันที่ริมนาข้าวเพื่อเล่าถึงเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้น

พื้นที่เกิดเหตุมีทุ่งนากว้างใหญ่ มีการปลูกข้าวต้นสีเขียวขจี จุดที่ชาวบ้านอ้างว่าพบเหตุประหลาดเป็นทุ่งนาของนายทิ คิดข้างบน อายุ 69 ปี ซึ่งชาวบ้านหลายคนได้เล่าว่า เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 48 เวลาราว 06.30 น. ได้เห็นตัวประหลาด รูปร่างคล้ายตุ๊กตาขนาดสูงราว 1 เมตร ลำตัวสีเหลืองอ่อน มีดวงตา และหูใหญ่ ขาเล็กลีบ ซึ่งตอนแรกชาวบ้านหลายคน คิดว่าเป็นหุ่นไล่กา

ต่อมาราว 10.00 น.วันเดียวกัน พบว่าตัวประหลาดดังกล่าวได้ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าได้ คล้ายมีพลังทำให้ลอยขึ้นเองแล้วหายไป ทำให้ชาวบ้านที่พบเห็นต่างตื่นตระหนก แล้วจับกลุ่มกันวิพากษ์วิจารณ์ว่าอาจเป็นมนุษย์ต่างดาวเหมือนในภาพยนตร์ ฮอลลีวูดก็เป
็นได้ แต่เนื่องจากชาวบ้านไม่มีกล้องบันทึกภาพไว้จึงไม่มีหลักฐานยืนยัน มีแต่ภาพสเก็ตช์ที่ชาวบ้านวาดให้ดู ลักษณะเป็นรูปร่างคล้ายตัวการ์ตูน บางคนบอกว่าคล้ายการ์ตูนผีน้อยแคสเปอร์

นายแสวง บุญราชศักดิ์ อายุ 51 ปี ชาวบ้าน ในพื้นที่เล่าว่า ตนไม่ได้เมาหรือเสพยาเสพติด และเห็นด้วยตาจริงๆว่า ในตอนเช้าวันนั้น มีตัวประหลาดคล้ายหุ่นไล่กา จึงไม่มีคนสนใจ กระทั่งมีนายคำมาเล่าว่า วัตถุนี้ลอยหายไปแล้ว จึงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที

นายคำมา ปินทรายมูล อายุ 56 ปี เล่าว่า ตอนแรกตนก็นึกว่าเป็นแค่หุ่น ที่นายทิ เจ้าของนาผูกไว้ไล่เป็ด แต่พอดูนานๆ เข้า พวกตนจึงมั่นใจว่าไม่ใช่ เพราะมันเคลื่อนย้ายไปมาได้ ตนจึงเฝ้าสังเกต จนกระทั่งเวลาประมาณ 10.30 น. หุ่นได้เปลี่ยนรูปร่างยืดตัวออกยาวขึ้น แล้วลอยขึ้นสูงกว่าเสาไฟฟ้า แล้วลอยขึ้นหายไปในท้องฟ้าเหมือนจรวดพุ่งไป

ส่วนนางบัวผัน ลาวิชัย เป็นผู้พบเห็นในตอนเช้าประมาณ 6.30 น. ของวันที่ 31 สิงหาคม 48 สังเกตเห็นเป็นลักษณะหัวกลมโตเหมือนหลอดไฟ ตาสีแดง ผิวเป็นสีเหลืองอ่อน ลอยอยู่เหนือต้นข้าว ในลักษณะ โงนเงนไปมาเหมือนกับคนไม่มีแรง

ด้านนายวิศิษฐ์ สิทธิสมบัติ นายอำเภอแม่จัน กล่าวภายหลังไปดูที่เกิดเหตุ แล้วว่า เรื่องนี้ไม่แน่ชัดว่าสิ่งที่ชาวบ้านเห็นเป็นอะไร แต่เนื่องจากมีการยืนยันหลายคน และน่าจะไม่ใช่การโกหก จึงได้หาทางตรวจสอบเพราะแต่ละวันมีประชาชนและสื่อมวลชนที่เริ่มทราบข่าวเข้า มาดู ซึ่งยังไม่ยืนยันว่าเป็นอะไร

ขณะที่พ.ต.อ.กิตติสินธุ์ คงทวีพันธ์ ผกก.สภ.อ.แม่จัน จ.เชียงราย กล่าวว่า ไม่มีหลักฐานว่า สิ่งที่ชาวบ้านพบเป็นอะไร หรือมนุษย์ต่างดาว ตามที่ชาวบ้านอ้าง เพราะไปดูแล้วไม่มีร่องรอยการเหยียบย่ำต้นข้าว หรือ มีหลักฐานหลงเหลือที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ก็ส่งเจ้าหน้าที่ไปสังเกตการณ์ เพราะมีประชาชนไปดูพื้นที่บริเวณนี้จำนวนมาก

---------------------------------------
ดร.เทพนมออกย้ำอีกครั้งว่า “มนุษย์ต่างดาวมีจริง” ในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์ทางจิตนานาชาติครั้งที่ 9 ทำได้โดยติดต่อผ่านโทรจิตหรือการทำสมาธิ พร้อมกับเล่าถึงประสบการณ์ที่ได้พบเจอกับมนุษย์ต่างดาว ไม่ว่าจะเป็นกับตัวเองและคนรอบข้าง

มหกรรมวิทยาศาสตร์ทางจิตนานาชาติ ครั้งที่ 9 ในหัวข้อ “วิทยาศาสตร์ทางจิตเพื่อสุขภาพ และการแพทย์ทางเลือก” ณ ดีทรอยต์ มอเตอร์เวิลด์ ได้เริ่มขึ้นแล้วตั้งแต่วานนี้ (3 ธ.ค.) โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมการฝึกจิต เพื่อสุขภาพ คุณภาพชีวิตและคุณธรรม อีกทั้งเป็นการรวบรวม วิเคราะห์ วิจัยความรู้ ปรากฏการณ์ทางจิตให้ปรากฏชัดว่าเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต

ในวันแรกของการเปิดงาน ช่วงบ่าย ศ.ดร.นพ.เทพนม เมืองแมน ประธานอำนวยการฝ่ายสถาบันวิทยาศาสตร์ทางจิต ผู้ที่ศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับ “มนุษย์ต่างดาว” และ “ยูเอฟโอ” มากว่า 10 ปีได้ขึ้นบรรยายเรื่อง “โทรจิตติดต่อมนุษย์ต่างดาว” โดยเปิดเผยว่า มีการศึกษามนุษย์ต่างดาวกันอย่างกว้างขวางในต่างประเทศ โดยมีภาพถ่ายเป็นหลักฐานการพบเห็น ซึ่งการติดต่อมนุษย์ต่างดาวนั้น ต้องกระทำด้วยการทำสมาธิทางจิต ต้องทำจิตให้สงบแล้วจะสามารถเห็นได้

แจงลักษณะมนุษย์ต่างดาว พร้อมเผยประสบการณ์ส่วนตัว

”นึกถึงเขาให้มาปรากฏ แต่ทุกครั้งที่ทำต้องเตรียมกล้องไว้ข้างกายเสมอเพราะต้องมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยืน
ยัน เป็นข้อมูล เหมือนกับว่าหากเราเห็นแล้วคนอื่นก็ต้องเห็นด้วย” ดร.เทพนมเผย พร้อมทั้งแจกแจงว่า ในต่างประเทศได้แบ่งมนุษย์ต่างดาวไว้เป็น 6 กลุ่ม ได้แก่ 1.หน้าตาเหมือนมนุษย์ 2. มีลักษณะคล้ายมนุษย์แต่มีผิวหนังเป็นสีเทา 3.มีลักษณะคล้ายสัตว์ 4. มีลักษณะคล้ายหุ่นยนต์ 5. รูปร่างประหลาด 6. มีลักษณะคล้ายผี

ทั้งนี้ ดร.เทพนม ยังเล่าถึงประสบการณ์การพบมนุษย์ต่างดาวที่เกี่ยวกับครอบครัวของเขาว่า ลูกชายตัวเองแต่งงานมา 9 ปี แต่ไม่มีลูก ดร.เทพนมจึงขอกับมนุษย์ต่างดาว ซึ่งในการข้อครั้งนั้นมีข้อแม้ว่าต้องพาลูกชายและลูกสะใภ้ไปบอสตัน และเมื่อไปถึง เย็นนั้นเองจานบินก็มาหาที่ริมทะเล ถัดจากนั้นอีก 2-3 อาทิตย์ต่อมาลูกสะใภ้ของ ดร.เทพนมก็ตั้งครรภ์



บรรยากาศในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์ทางจิตนานาชาติ ครั้งที่ 9 มีผู้ให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก


”หลังจากคลอดแล้วหลานคนนี้ก็สามารถเข้าใจในสิ่งที่พูดทางจิตด้วยการส่ง สัญญาณมือ และเมื่อหลานอายุได้ 3 เดือนก็นั่งสมาธิได้หลังจากได้บอกทางจิตให้ลองนั่ง ครั้งหนึ่งมีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นระหว่างที่คุยกับหลานทางอินเทอร์เน็ต ก็มีมือที่มี 3 นิ้วโผล่ขึ้นมาด้านหลังโบกไปมา ต่อมาจึงปรากฏหน้าให้เห็นมีลักษณะคล้ายหญิงชราเอามือตบหัวหลานเหมือนกับว่า คอยดูแลคุ
้มครอง” ดร.เทพนมเล่า ประสบการณ์ตรงจากการติดต่อกับมนุษย์ต่างดาว

โทรจิตติดต่อมนุษย์ต่างโลก จากดาว "เวก้า"

อีกทั้ง เขายังเล่าถึงประสบการณ์จากผู้อื่นว่า มีการติดต่อมนุษย์ต่างดาวทางสมาธิเมื่อปี 2546 โดยเป็นผู้หญิงเจ้าของบริษัทไฟฟ้ามาเล่าให้ฟังว่ามีประสบการณ์ประหลาด ตอนกลางคืนมีผู้ชายหน้าตาดี แต่งกายเหมือนท่านเคาท์แดรกคิวลามาหา ซึ่งผู้ชายคนนั้นบอกว่าตามหาหญิงเจ้าของบริษัทผู้นี้มานาน เนื่องจากเป็นภรรยาที่เสียชีวิตไปและต้องการให้กลับไปอยู่กินด้วยกันเหมือน เดิม

”ผมจึงติดต่อด้วยสมาธิ และมนุษย์ต่างดาวผู้นี้บอกว่าชื่อ “บีอี” มาจากดาวชื่อเหมือนมิสยูนิเวิร์สปี 46 ที่ชื่อ“เวก้า” และจะมาปรากฏให้เห็นในตอนเย็นเป็นยานทรงกระบอกสีแดงในวันที่ 25 ธ.ค. อีกทั้งยังฝากบอกไปถึงภรรยาเก่าด้วยว่าหากมีปัญหาเดือดร้อนให้นึกถึงเขาจะมา หาทันที และปีที่แล้วในขณะที่ธุรกิจเกี่ยวกับไฟฟ้าของหญิงผู้นี้ประสบปัญหาจะล้ม ละลาย บ้านจะโดนยึดและมีปัญหาเรื่องลูกสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ หญิงผู้นี้ก็นึกถึงมนุษย์ต่างดาวบีอีขอให้ช่วย หลังจากนั้นไม่กี่วันเงินที่ถูกเพื่อนโกงก็ได้คืน กองบังคับคดีที่มีหน้าที่ยึดบ้านก็ไม่ยึด บุตรก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้” ดร.เทพนมเล่า

5,000 ปีที่แล้วมนุษย์ต่างดาวเคยเยือนไทย

”เมื่อคราวที่ต้องผ่าตัดหลังที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธปีที่แล้ว มนุษย์ต่างดาวบอกให้เอากล้องถ่ายที่หน้าต่างจานบินก็มา อีกทั้งมนุษย์ต่างดาวก็บอกว่าไม่ต้องกลัวจะมาอยู่ในห้องด้วย และในการผ่าตัดครั้งนั้นหมอบอกว่าต้องใช้เวลาประมาณ 6-7 ช.ม. รวมทั้งต้องใช้เลือดอีก 6-7 ขวด เพราะในการผ่าตัดใหญ่ที่หลังนั้นผู้ป่วยจะเสียเลือดมาก แต่ปรากฏว่าไม่ต้องใช้เลือดเลยและใช้เวลาไปไม่เกิน 3 ช.ม.”

นอกจากนี้ ดร.เทพนมยังเล่าถึงเหตุการณ์ “จานบินตก” โดยมีข้อมูลมาจากทำเนียบขาวว่ามีจานบินตกที่ จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 9 ก.พ. 1998 และสหรัฐอเมริกาส่งทีมค้นหาเข้ามาหาแต่ไม่พบ แต่ ดร.เทพนมและพระรูปหนึ่งไปตามหาจนเจอว่าตกอยู่บริเวณป่าสงวน แต่ทั้ง 2 ไม่กล้าเข้าไปเพราะกลัวโดนจับ และเมื่อคราวที่องค์การบริการการบินสหรัฐ (นาซา) มาประชุมที่มหาวิทยาลัยสุรนารี โดยได้เชิญคนไทย 3 คนไปพูด และเขาคือหนึ่งในนั้น ขณะนั้นก็มีจานบินมาให้เห็น

อย่างไรก็ดี ดร.เทพนม ก็ได้ยืนยันเช่นเดิมว่า เมื่อ 5,000 ปีก่อนมนุษย์ต่างดาวเยือนไทย ซึ่งเขาเองก็เคยได้รับการติดต่อจากมนุษย์ต่างดาวว่าเคยมาประเทศไทยเมื่อ 5,000 ปีที่แล้ว โดยพบหลักฐานปรากฏอยู่ในถ้ำบนยอดเขาที่กาญจนบุรีเป็นภาพที่วาดโดยมนุษย์ถ้ำ ประมาณ 100 กว่าภาพเป็นภาพมนุษย์ต่างดาวตากลมโต เมื่อให้เจ้าหน้าที่จากกรมศิลปากรเอาหินในถ้ำไปตรวจก็พบว่ามีอายุประมาณ 5,000 ปีตามที่กล่าวจริง

งานมหกรรมวิทยาศาสตร์ทางจิตนานาชาติครั้งที่ 9 ครั้งนี้ ยังมีหัวข้อการบรรยายที่น่าสนใจอีกหลายเรื่องเช่น ญาณรู้พลังจิตจักรวาล โดย ดร. วนิดา ทิวกลาง สมาธิกับแสงออร่า โดย อ.ฉาดฉาน บุญนาค พิณแก้ว-ดนตรีพลิกชีวิต โดย อ.วีระพงศ์ ทวีศักดิ์ และวิทยาศาสตร์การหายใจกับพลังชีวิต โดย อ.กัญจีรา กาญจนเกตุ เป็นต้น ซึ่งงานนี้มีตั้งแต่วันที่ 3-6 ธ.ค.เวลา 10.00 – 19.00 น. บริเวณชั้น 3-4 ณ ดีทรอยต์ มอเตอร์เวิลด์ (ปากซอยรามคำแหง 30) สอบถามรายละเอียดได้ที่ นิตยสารโลกทิพย์ โทร 0-2248-3291-3 นิตยสารบูรพา โทร 0-9189-9052


---------------------------------------
สเปซดอทคอม - แม้ว่าการถ่ายทอดเรื่องราวของสิ่งมีชีวิตนอกโลกหรือมนุษย์ต่างดาว ทั้งเชิงน่ารักและน่ากลัวส่วนใหญ่จะปรากฏอยู่แค่ในนวนิยายวิทยาศาสตร์ แต่ชาวอเมริกันถึง 2 ใน 3 ต่างก็เชื่อว่าในห้วงจักรวาลอันกว้างไกลน่าจะมี (มะนาวต่างดุ๊ด) “มนุษย์ต่างดาว” หรือสิ่งมีชีวิตทำนองนี้อาศัยอยู่บนดาวเคราะห์ที่ไหนสักแห่ง

ศูนย์การสำรวจและวิเคราะห์วิจัย (Center for Survey and Research Analysis) ของมหาวิทยาลัยแห่งคอนเนกติกัต (University of Connecticut) สหรัฐอเมริกา ได้รับมอบหมายจากเนชันแนล จีโอกราฟิก แชนแนล (National Geographic Channel) ให้สำรวจความคิดเห็นชาวอเมริกันทางโทรศัพท์ทั้งหมด 1,000 คน ถึงความเป็นไปได้ว่า “มนุษย์ต่างดาว” มีจริงหรือไม่ โดยกลุ่มเป็นหญิง 523 คนและชาย 477 คน ทั้งหมดมีอายุมากกว่า 18 ปี ซึ่งผลการสำรวจระบุว่า 60% ของกลุ่มตัวอย่างเชื่อว่ามีสิ่งมีชีวิตหรือมนุษย์ต่างดาวอาศัยอยู่บนดาวดวง อื่นๆ

ในกลุ่มที่เชื่อว่ามีมนุษย์ต่างดาวอยู่นี้ ส่วนใหญ่รู้สึกตื่นเต้นและคาดหวังว่าจะมีการค้นพบมนุษย์ต่างดาวจริงๆ ขณะที่ 90% ของกลุ่มนี้เชื่อว่าโลกของเราสามารถโต้ตอบข้อความหรือสารที่ได้รับจากดาวดวง อื่นๆ ได้ แม้แต่ 2 ใน 3 ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดที่ไม่เชื่อว่าจะมีชีวิตอยู่นอกโลกนั้นก็ยังกล่าว ว่า ถ้ามีการส่งสัญญาณมาจากมนุษย์ต่างดาวจริง โลกของเราก็ควรจะตอบกลับไป

อีกทั้ง จากโพลที่สำรวจความคิดเห็น 77% ในกลุ่มผู้ที่เชื่อว่าน่าจะมีมนุษย์ต่างดาวอยู่จริงนั้น คิดว่ามนุษย์ต่างดาวน่าจะมีรูปร่างเหมือนเอเลียน หรือมีลักษณะที่แปลกประหลาดต่างจากมนุษย์ และสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นน่าจะพัฒนาขึ้น ณ ดาวเคราะห์ที่มีลักษณะแตกต่างจากดาวโลก และกลุ่มตัวอย่าง 8 ใน 10 คนเชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวที่ว่าจะต้องมีเชาวน์ปัญญาที่พัฒนาก้าวหน้าไปกว่า มนุษย์อย่า
งพวกเรา



SETI เชื่อว่าจะต้องมีมนุษย์ต่างดาวอยู่สักแห่งบนฟากฟ้า


นอกจากนี้ การสำรวจความคิดเห็นยังได้วิเคราะห์ถึงความเชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริงหรือ ไม่นั้น ไม่เกี่ยวข้องกับความเชื่อพื้นฐานทางการเมือง แต่เกี่ยวข้องกับกิจปฏิบัติทางศาสนามากกว่า โดยในการสำรวจทั้งชาวเดโมแครตและรีพับลิกันต่างเชื่อว่ามีสิ่งมีชีวิตในดวง ดาวใบอื่น
พอๆ กัน ขณะที่คริสตศาสนิกชนที่หมั่นไปโบสถ์เพียง 46% เชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริง และกลุ่มผู้ที่ไม่ไปโบสถ์เป็นประจำเชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริงถึง 70%

ทั้งนี้ เซธ โชสตาก (Seth Shostak) นักดาราศาสตร์อาวุโสประจำสถาบันค้นหาสิ่งมีชีวิตนอกโลกที่มีเชาวน์ปัญญา (Search for Extraterrestrial Intelligence Institute : SETI) เปิดเผยว่า สาธารณชนให้ความสนใจถึงความเป็นไปได้ของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ นอกเขตโลก ซึ่งที่ผ่านมาก็มีหลายๆ ตัวอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการประกาศของนักวิจัยในปี 2539 ที่อ้างว่าพบหลักฐานแห่งชีวิตของจุลชีพโบราณในก้อนหินจากดาวอังคาร ณ เวลานั้นเกิดกระแสแตกตื่นในวงการสื่อและสมาคมวิทยาศาสตร์มากมาย อีกทั้งการค้นพบครั้งนี้ก็ยังกลายเป็นข้อถกเถียงกระทั่งปัจจุบัน

"แต่ก็แสดงให้เห็นว่าการค้นพบสิ่งมีชีวิตอื่นๆ นอกโลกนั้นมีความสำคัญอย่างไร แม้ว่าสิ่งที่ค้นพบจะเป็นจุลชีพเล็กๆ ที่ตายแล้วก็ตาม” โชสตากอธิบายถึงการโต้เถียงอันเนื่องมาจากหินจากดาวอังคารก้อนนั้น ซึ่งมีหลายๆ คนและ SETI เองก็เชื่อว่ามีสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ร่วมใช้ชีวิตอยู่ในกาแล็กซีของพวกเรา โดยนักดาราศาสตร์อาวุโสของสถาบันตามหามนุษย์ต่างดาวผู้นี้เชื่อว่าในอีก 20 ปีข้างหน้า (2568) พวกเราอาจจะค้นพบหลักฐานที่ชี้ว่ามีสิ่งมีชีวิตที่มีเชาวน์ปัญญาอยู่นอกโลก จริง

”ไม่มีใครรู้ว่าพวกเราจะค้นพบอะไร แต่พวกเรามีรายชื่อดาวเคราะห์มากมายที่ต้องสงสัยว่าน่าจะมีร่องรอยทาง ชีววิทยา และการสังเกตการณ์อวกาศในอนาคตก็อาจจะเป็นการมองหาชีวิต” โชสตากแจกแจง ซึ่งส่วนใหญ่โครงการของสถาบัน SETI จะเน้นการค้นหาเชาวน์ปัญญาของสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวตามชื่อของสถาบัน โดยมุ่งตรงไปที่การวิเคราะห์การส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่คลื่นวิทยุ ระหว่างดวงดา
ว ในฐานะที่เป็นสัญญาณจากอารยธรรมอันไกลโพ้น สถาบันไม่แสวงผลกำไรซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ซิลิคอน แวลเลย์ ถือเป็นองค์กรเอกชนที่อุทิศตนเพื่อค้นคว้าเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวที่ใหญ่ที่ สุดในโลก
และเป็นผู้บุกเบิกการค้นคว้าหลายชิ้นที่กำลังเดินหน้าอยู่ในปัจจุบัน

-----------------------------------
เอ เอฟพี - นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียอ้างว่าได้ค้นพบซากอุปกรณ์บางอย่างของมนุษย์ต่าง ดาว ในบริเวณที่เกิดการระเบิดอย่างรุนแรงโดยไม่ทราบสาเหตุ ในไซบีเรีย เมื่อ 100 กว่าปีที่ผ่านมา

สำนักข่าวอินเทอร์แฟกซ์ รายงานว่า นักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้ทำงานให้กับโครงการศึกษาปรากฏการณ์อวกาศตุนกัสกา เปิดเผยว่า ได้พบซากสิ่งประดิษฐ์บางอย่างที่เชื่อว่ามาจากนอกโลก และยังพบก้อนหินประหลาดหนัก 50 กิโลกรัม ในบริเวณที่เกิดการระเบิด โดยได้ส่งต้วอย่างเหล่านี้วิเคราะห์ในห้องทดลองที่เมืองคราสโนยาร์สก์ ไซบีเรียเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ทั้งนี้ เหตุระเบิดดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อ 30 มิ.ย. 1908 บริเวณท้องฟ้าเหนือแม่น้ำตุนกัสกา แคว้นไซบีเรีย โดยไม่มีผู้ทราบสาเหตุของการระเบิดครั้งนั้น แต่นับว่าเป็นเรื่องลี้ลับทางวิทยาศาสตร์ครั้งใหญ่สุดในรอบศตวรรษที่ 20 ซึ่งแรงระเบิดพุ่งไปไกลหลายร้อยกิโลเมตร และทำให้ผืนป่าไซบีเรียถูกทำลายไปกว่า 2,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งหลายคนเชื่อว่าเป็นการระเบิดของอุกกาบาต แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดพิสูจน์ได้

----------------------------------------
เอ เอฟพี - ฝรั่งเศสกลายเป็นประเทศแรกที่เปิดแฟ้มลับของตนในเรื่องเกี่ยวกับ “ยูเอฟโอ” ซึ่งรวบรวมข้อมูลรายงานการพบเห็นวัตถุประหลาดบนฟากฟ้ากว่า 1,600 กรณี ตลอดช่วงเวลากว่า 50 ปีที่ผ่านมา

องค์การอวกาศแห่งชาติฝรั่งเศส (CNES : Centre National d’Etudes Spatiales) ได้จัดแถลงข่าวเปิดตัวเว็บไซต์ www.cnes-geipan.fr ซึ่งรวบรวมข้อมูลรายงานการพบเห็นวัตถุประหลาดบนฟากฟ้า

ฐานข้อมูลออนไลน์แห่งนี้ยังคงอัปเดตเมื่อมีรายงานกรณีใหม่ๆ เข้ามาด้วยนั้น ได้จัดทำรายการกรณีที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดยิบ โดยมีตั้งแต่เหตุการณ์ซึ่งสามารถโยนทิ้งไปได้อย่างง่ายดาย ไปจนถึงเหตุการณ์จำนวนหนึ่งซึ่งแม้กระทั่งนักวิทยาศาสตร์ผู้ไม่ยอมเชื่ออะไร ง่ายๆ ก็ยังต้องนิ่งอึ้ง

ฌาคส์ ปาเตอเนต์ (Jacques Patenet) วิศวกรการบินอวกาศ ผู้อำนวยการสำนักงานทำหน้าที่ศึกษา "ปรากฏการณ์ในบรรยากาศและอวกาศที่ไม่สามารถระบุชี้ชัดได้" (non-identified aerospatial phenomena) ขององค์การอวกาศฝรั่งเศส อวดว่าการเปิดแฟ้มผ่านทางออนไลน์ของแดนน้ำหอมเช่นนี้ ถือเป็นครั้งแรกของโลก

หลายประเทศโดยเฉพาะอังกฤษและสหรัฐฯ มีการเก็บรวบรวมข้อมูล “วัตถุบินได้ที่ไม่สามารถระบุชี้ชัด” หรือ “ยูเอฟโอ” อย่างเป็นระบบเช่นกัน ทว่าผู้สนใจศึกษาต้องอาศัยกฎหมายเสรีภาพด้านข้อมูลข่าวสารมาบังคับให้หน่วย งานที่จัด
เก็บยอมเปิดแฟ้มให้ดู และก็ขอดูได้เป็นกรณีๆ ไปเท่านั้น

ปาเตอเนต์ บอกว่า กรณีอย่างเช่นสตรีผู้หนึ่งรายงานว่า พบเห็นวัตถุที่ดูเหมือนม้วนกระดาษชำระกำลังบินอยู่ ย่อมเห็นได้ชัดเจนว่าไม่มีคุณค่าพอที่จะดำเนินการสอบสวน แต่ก็มีกรณีจำนวนมากที่มีผู้พบเห็นกันหลายคน อีกทั้งมีหลักฐานอย่างเช่น รอยไหม้ หรือเรดาร์สามารถตรวจจับรูปแบบการบินของวัตถุนั้นๆ ตลอดจนมีการเร่งความเร็วชนิดที่ท้าทายกฎทางฟิสิกส์ เหล่านี้ย่อมควรที่จะต้องพิจารณากันอย่างจริงจัง

จากกรณีกว่า 1,600 กรณีที่เก็บรวมไว้ตั้งแต่ปี 1954 มีเกือบ 25% ถูกจัดให้อยู่ใน “ประเภท ดี” (type D) ซึ่งหมายความว่า “แม้จะมีข้อมูลที่ดีหรือกระทั่งดีมาก และมีพยานที่น่าเชื่อถือ แต่เราก็เผชิญกับอะไรบางอย่างที่เรายังไม่สามารถอธิบายได้” ปาเตอเนต์กล่าว

หนึ่งตัวอย่างของกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นในวันที่ 8 มกราคม 1981 บริเวณนอกเมืองตรองส์-ออง-โปรวองซ์ (Trans-en-Provence) เมืองเล็กๆ ทางภาคใต้ของฝรั่งเศส ชายผู้หนึ่งที่กำลังทำงานในทุ่งนารายงานว่า ได้ยินเสียงหวูดหวีดแปลกๆ และพบวัตถุรูปร่างเหมือนชามกลมๆ ตื้นๆ รัศมีประมาณ 2.5 เมตร ลงจอดในทุ่งนาของเขา ห่างจากตัวเขาไปราว 50 เมตร

เขาแจ้งความกับตำรวจว่า วัตถุรูปชามซึ่งมีสีเทาสังกะสีตุ่นๆ นี้ ได้ทะยานขึ้นฟ้าแทบจะทันทีทันใด และทิ้งรอยไหม้ไว้หลายรอย คณะเจ้าหน้าที่สอบสวนได้ถ่ายภาพ และเก็บตัวอย่างหลายอย่างมาวิเคราะห์ ทว่าจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีคำอธิบายที่น่าพอใจ

แต่ก็มีกรณีอย่างเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 1990 ซึ่งมีพยานเกือบ 1,000 คนบอกว่าพบเห็นแสงสว่างวาบบนท้องฟ้า แล้วการสอบสวนระบุว่าเป็นเพียงเศษของจรวดที่ตกกลับเข้าสู่บรรยากาศของโลก

เมื่อถูกถามเรื่องมีมนุษย์จากนอกโลกจริงหรือไม่ ปาเตอเนต์ตอบว่า “เราไม่มีหลักฐานแม้แต่น้อยนิดที่พิสูจน์ว่า มนุษย์ต่างดาวเป็นผู้อยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์อันไม่อาจอธิบายได้เหล่านี้”

ทว่าเขาก็กล่าวต่อไปว่า “แต่เราก็ไม่มีหลักฐานแม้แต่น้อยนิดเช่นกันที่พิสูจน์ว่า พวกเขาไม่ได้อยู่เบื้องหลัง”

ทั้งนี้ CNES ได้รับรายงานการเห็น UFO ปีละ 50-100 กรณี และส่วนใหญ่เป็นการรายงานผ่านตำรวจ มีเพียงแค่ 10% ในจำนวนนี้ที่วัตถุประหลาดนั้นได้รับการสืบสวนต่อไป

เว็บไซต์ดังกล่าวนับเป็นแหล่งข้อมูลชั้นดีซึ่งมีทั้งรูปภาพ และรายงานของตำรวจอย่างละเอียด ซึ่งการเปิดให้นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกเข้าถึงข้อมูลดังกล่าว จะช่วยให้ง่ายต่อการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตนอกโลกต่อไป

อย่างไรก็ดี ภายหลังเปิดตัวเว็บไซต์ www.cnes-geipan.fr ดูเหมือนว่าจะมีผู้ให้ความสนใจมากมายล้นหลาม จนเซิร์ฟเวอร์ไม่สามารถรองรับได้ ผู้เข้าชมจากทั่วโลกจึงอาจจะไม่สามารถรับชมเว็บไซต์ดังกล่าวได้อย่างสะดวก นัก

----------------------------------------------
เอเอฟพี – อดีต รมว.กลาโหมแคนาดา “ขิงแก่” ไอเดียบรรเจิด เรียกร้องนานาชาติเปิดข้อมูลมนุษย์ต่างดาวที่ซ่อนไว้ เชื่อเทคโนโลยีที่ใช้สร้างยานมาถึงโลกไม่ใช่ย่อย โดยเฉพาะระบบพลังงานต้องมีเชื้อเพลิงพิเศษที่ไม่ใช้พลังงานฟอสซิล หวังหากนำมาใช้ได้จริง พิทักษ์โลกได้แน่

พอล เฮลไลยเออร์ (Paul Hellyer) อดีตรัฐมนตรีกลาโหมแคนาดาเรียกร้องให้รัฐบาลทั่วโลกเปิดเผยและนำเทคโนโลยีเอเลี่ยนที
่ปิดบังกันไว้ออกมาใช้ โดยเชื่อว่ามีหลายเหตุการณ์ที่ยานบินของมนุษย์ต่างดาวตกลงบนพื้นโลก และประเทศต่างๆ เก็บข้อมูลไว้

”ผมต้องการเห็นเทคโนโลยีเหล่านี้ว่าอาจจะช่วยกำจัดการเผาเชื้อเพลิงจากฟอสซิลได้ภายใ
นชั่วอายุคน และนั่นเป็นหนทางที่จะพิทักษ์โลก” อดีต รมต. วัย 83 ปี เปิดเผยกับหนังสือพิมพ์ “ออตตาวา ซิติเซ็น” (Ottawa Citizen)

ทั้งนี้ เฮลไลยเออร์เชื่อว่า ยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาวกว่าจะเดินทางด้วยระยะทางอันแสนไกลมาถึงโลกได้ต้องประกอบไป
ด้วยอุปกรณ์ที่ก้าวล้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบขับดันหรือไม่ก็ต้องใช้พลังงานที่ไม่ธรรมดาเป็นเชื้อเพลิงในกา
รเดินทาง

อดีต รมต.แคนาดาย้ำว่า เทคโนโลยีของมนุษย์ต่างดาวแบบนี้จะช่วยมวลมนุษยชาติให้ได้พลังงานทางเลือก ไม่ต้องพึ่งพาเชื้อเพลิงจากฟอสซิลอีกต่อไป โดยเขาได้ยกตัวอย่างถึงกรณีอุบัติการณ์ลึกลับ เชื่อว่ามีจานบินตกที่รอสเวลล์ นิว เม็กซิโก สหรัฐฯ ในปี 1947 ส่องประกายให้แก่ผู้ที่เชื่อในมนุษย์ต่างดาวว่ามีอยู่จริง และเฮลไลเออร์นับว่าเป็นตัวอย่างการติดต่อของมนุษย์ต่างดาว

”พวกเราจำเป็นต้องโน้มน้าวให้รัฐบาลต่างๆ เปิดเผยในสิ่งที่พวกเขารู้ เราเชื่อว่าหลายๆ ประเทศมีข้อมูลมากมาย และนั่นคงจะมากพอที่จะพิทักษ์โลกเราไว้ได้ หากนำมาประยุกต์ใช้ทันการณ์” เฮลไลยเออร์เผย

ที่สำคัญอดีตรัฐมนตรีวัยเกษียณผู้นี้เคยตกเป็นข่าวดังในปี 2005 ด้วยการประกาศว่า “เขาเคยเห็นยูเอฟโอ” และเชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวมีอยู่จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุการณ์ที่รอสเวลล์มีทั้งร่างและยานของเอเลี่ยนซึ่ง สหรัฐฯ พยายามปกปิด
----------------------------------------------
บี บีซีนิวส์ - ย้อนไปเมื่อ 10 ปีก่อน ณ พิพิธภัณฑ์ในนครไคโรของอียิปต์ นักธรณีวิทยาอิตาเลียนรายหนึ่งสังเกตเห็นอัญมณีประหลาดที่ประดับอยู่ตรงกลาง ของสร้อย
เส้นหนึ่งของฟาโรห์ “ตุตันคาเมน” เมื่อนำไปตรวจสอบพบว่า แท้จริงอัญมณีเม็ดนั้นเป็นแก้ว แต่ปัญหาก็คือ แก้วที่ว่ามีอายุเก่าแก่กว่าอารยธรรมอียิปต์ตอนต้นเสียอีก

วินเซนโซ เดอ มิเชล (Vincenzo de Michele) คือนักธรณีวิทยาอิตาเลียนรายนั้น ได้ร่วมงานอาลี บาราคัต (Aly Barakat) นักธรณีวิทยาอียิปต์ เพื่อค้นหาต้นกำเนิดของอัญมณีปริศนาจนไปพบแก้วแบบนี้กระจัดกระจายเกลื่อน กลาดในทะเลท
รายซาฮาราชนิดที่ไม่สามารถหาคำอธิบายได้ และนั่นนำไปสู่ปริศนาทางวิทยาศาสตร์ว่า “แก้วเหล่านั้นไปอยู่ในบริเวณดังกล่าวได้อย่างไร”

ล่าสุด รายการฮอไรซัน (BBC Horizon) ของสถานีโทรทัศน์บีบีซีจัดทำสารคดีเกี่ยวกับปริศนาเร้นลับนี้ โดยระบุทฤษฎีใหม่เชื่อมโยงเพชรประหลาดของตุตันคาเมนกับอุกกาบาตที่หล่นลงมา จากนอกโลก


เริ่มจากคริสเตียน โคเบิร์ล (Christian Koeberl) นักเคมีวิทยาดาราศาสตร์ชาวออสเตรเลีย ที่ตั้งสมมติฐานว่า แก้วปริศนาเกิดจากอุณหภูมิที่สูงมากๆ ซึ่งเท่าที่รู้เกิดจากปัจจัยเพียงอย่างเดียวคือ ผลกระทบจากอุกกาบาตต่อโลก อย่างไรก็ดี ไม่มีร่องรอยของหลุมอุกกาบาตในบริเวณดังกล่าว แม้จากภาพถ่ายดาวเทียม

จอห์น วัสสัน (John Wasson) นักธรณีฟิสิกส์อเมริกันเป็นนักวิทยาศาสตร์อีกคนที่สนใจต้นกำเนิดของแก้ว ปริศนา ซึ่งเขาคิดว่าน่าจะมีสมมติฐานเดียวกันกับสิ่งที่เกิดในป่าในไซบีเรียเมื่อปี 1908 ซึ่งเรียกว่าปรากฏการณ์ตังกัสกา (Tunguska) ที่เกิดระเบิดครั้งใหญ่จนต้นไม้ 80 ล้านต้นในบริเวณนั้นราบเป็นหน้ากลอง

แม้ไม่ปรากฏสัญญาณว่ามีอุกกาบาตวิ่งชนโลก แต่นักวิทยาศาสตร์คิดว่า น่าจะมีวัตถุชนิดใดชนิดหนึ่งจากนอกโลกระเบิดเหนือตังกัสกา ขณะที่วัสสันสงสัยว่า น่าจะมีการระเบิดในอากาศในลักษณะคล้ายกันกับที่ตังกัสกา ซึ่งรุนแรงมากถึงขนาดที่ทำให้ทรายในทะเลทรายอียิปต์กลายสภาพเป็นแก้ว

การระเบิดของระเบิดปรมาณูลูกแรกที่ถูกนำไปทดสอบในนิวเม็กซิโกเมื่อปี 1945 ทำให้เกิดชั้นแก้วบางๆ บนผืนทราย แต่บริเวณที่กลายเป็นแก้วในทะเลทรายอียิปต์กินบริเวณกว้างขวางกว่า ดังนั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในสถานที่ดังกล่าว ที่แน่ๆ สิ่งนั้นย่อมมีอานุภาพรุนแรงกว่าระเบิดปรมาณู

ไม่มีใครเคยได้ยินเรื่องการระเบิดกลางอากาศซึ่งเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่มีความรุนแ
รง ถึงระดับนั้นจนกระทั่งปี 1994 เมื่อนักวิทยาศาสตร์จับตาดูดาวหางชูเมกเกอร์-เลวี (Shoemaker-Levy) ชนกับดาวพฤหัสบดีและเกิดระเบิดในชั้นบรรยากาศของดาวพฤหัสบดี ซึ่งกล้องโทรทัศน์อวกาศฮับเบิลเก็บภาพลูกไฟสว่างเจิดจ้าชนิดที่ไม่เคยเห็นมา ก่อนพุ่ง
ขึ้นเหนือเส้นขอบฟ้าของดาวดวงดังกล่าว

มาร์ก บอสลัฟ (Mark Boslough) ผู้เชี่ยวชาญด้านการจำลองปรากฏการณ์อุกกาบาตขนาดใหญ่พุ่งชนโลกบนซูเปอร์ คอมพิวเตอร์ สร้างสถานการณ์จำลองของปรากฏการณ์ดังกล่าว และพบว่าหากอุกกาบาตพุ่งชนโลก จะทำให้เกิดลูกไฟขนาดใหญ่ซึ่งสามารถทำให้อุณหภูมิบนผิวโลกสูงถึง 1,800 องศาเซลเซียส และทิ้งทุ่งที่เกลื่อนกลาดไปด้วยแก้วปริศนาไว้เบื้องหลัง

บอสลัฟระบุว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวจะรุนแรงกว่าระเบิดปรมาณูที่นำไปทดลองในนิวเม็กซิโกสิบ เท่า ยิ่งวัตถุนั้นเปราะบางเท่าไหร่ แนวโน้มที่จะเกิดการระเบิดในอากาศยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ วัสสันค้นพบสิ่งที่เหลือจากปรากฏการณ์เมื่อ 800,000 ปีที่แล้ว ซึ่งรุนแรงและทำลายล้างมากกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในทะเลทรายอียิปต์ และอาจทำให้เกิดลูกไฟมากมาย รวมทั้งแก้วปริศนากินอาณาบริเวณหลายแสนตารางไมล์ โดยปราศจากร่องรอยหลุมอุกกาบาต ซึ่งหมายความว่า ผู้คนในบริเวณดังกล่าวไม่มีใครรอดชีวิตเลย

ที่สำคัญ จากทัศนะของบอสลัฟและวัสสัน เหตุการณ์ที่คล้ายกับที่เกิดขึ้นที่ตังกัสกาอาจเกิดขึ้นทุกๆ 100 ปี ทำให้เกิดระเบิดในอากาศรุนแรงพอๆ กับระเบิดปรมาณูที่บอมบ์ฮิโรชิมาหลายลูกรวมกัน

อย่างไรก็ดี นักวิทยาศาสตร์ยังเตือนว่า ความพยายามในการระเบิดอุกกาบาตที่พุ่งตรงมายังโลกเหมือนที่เห็นในหนังฮอลลี วูด รังแต่จะทำให้ระเบิดรุนแรงขึ้น

---------------------------------------------
เอ เยนซีส์ - นักดาราศาสตร์อเมริกันระบุรายชื่อดาวฤกษ์ 5 ดวงบริเวณใกล้เคียงกาแล็กซีทางช้างเผือกที่มีแนวโน้มมากที่สุดว่าอาจจะเป็น แหล่งพำนั
กของสิ่งมีชีวิตนอกโลก อย่าง “มนุษย์ต่างดาว” ที่ชาวโลกควานหามานานหลายสิบปี

นานมาแล้วที่นักวิทยาศาสตร์ดักฟังสัญญาณวิทยุจากกาแล็กซีอื่นๆ ที่ห่างไกลออกไป ด้วยความหวังว่า จะพบกับสิ่งมีชีวิตที่มีความศิวิไลซ์ในดาวดวงอื่น

ในการประชุมประจำปีของสมาคมวิทยาศาสตร์ขั้นสูงของอเมริกา (American Association for the Advancement of Science) ที่จัดขึ้นที่เซนต์หลุยส์ สหรัฐฯ มาร์กาเร็ต เทิร์นบูล (Margaret Turnbull) แห่งสถาบันคาร์เนอร์กีในวอชิงตัน ดีซี (Carnegie Institution of Washington) ได้เปิดเผยกฎเกณฑ์สำหรับการค้นหาดวงดาวที่เชื่อว่าจะมีมนุษย์ต่างดาวเอาไว้ อาทิ อายุของดวงดาวนั้นๆ และปริมาณธาตุเหล็กในชั้นบรรยากาศ

แคนดิเดตที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดในบรรดาดาว 5 ดวงตามเกณฑ์ของ ดร.เทิร์นบูลคือ ดาวเบตา ซีวีเอ็น (beta CVn) ในกลุ่มดาวเคนส์ เวนาชิติ (Canes Venatici) ที่มีลักษณะคล้ายดวงอาทิตย์ และอยู่ห่างออกไป 26 ปีแสง หรือ 153 ล้านล้านไมล์

ก่อนหน้านี้ ดร.เทิร์นบูลระบุว่า มีดาวเคราะห์ประมาณกว่า 17,000 ดวงที่เธอเชื่อว่า อาจเป็น ‘ระบบดาวฤกษ์ที่สามารถอยู่อาศัยได้’ กล่าวคือ มีเงื่อนไขทางกายภาพที่ไม่สุดโต่งเกินไปที่จะจำกัดวิวัฒนาการและพัฒนาการของ สิ่งมีชี
วิตนอกโลกและเทคโนโลยีของสิ่งมีชีวิตนั้น

จากสมมติฐานดังกล่าว เธอเลือกดาวฤกษ์ออกมา 5 ดวงที่ดูมีแนวโน้มมากที่สุดที่สนับสนุนทฤษฎีสิ่งมีชีวิตนอกโลก โดยเชื่อว่าจะเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดหากเราต้องย้ายออกจากโลก หรือเพื่อศึกษาอย่างละเอียดต่อไป

“เซติ” หรือ (SETI : Search for Extraterrestrial Intelligence) คือ สถาบันเพื่อการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ที่พยายามค้นหาหลักฐานของสิ่งมีชีวิตใน ระบบจักร
วาล ด้วยการใช้เครื่องตรวจวัดคลื่นวิทยุทางไกลที่ประจำอยู่ในหอดูดาวทั่วโลก เพื่อตรวจดูบนฟ้าว่ามีการส่งสัญญาณชั้นสูงจากที่ใดบ้าง

นอกจากนั้น นักดาราศาสตร์ยังรวบรวมชุดหลักการที่เรียกว่า หลักการเซติ ซึ่งเป็นการกำหนดกรอบโครงของสิ่งที่ควรทำหากตรวจพบสัญญาณเรียกมาจากสิ่งมีชี วิตนอกโล


ทว่า ภารกิจอันใหญ่ยิ่งนี้หมายความว่า นักวิทยาศาสตร์ควรหาวิธีลดเป้าหมายการค้นหาให้แคบลง ซึ่งก็คือวิธีการของ ดร.เทิร์นบูลในการเน้นถึงดวงดาวที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดซึ่งโคจรอยู่ รอบๆ โลกที่เราอาศัยอยู่

เกณฑ์ของ ดร.เทิร์นบูลคือ จะต้องเป็นดาวที่มีอายุอย่างน้อย 3,000 ล้านปี ซึ่งเป็นระยะเวลาที่โลกก่อกำเนิดและวิวัฒนาการจนมาถึงปัจจุบัน ซึ่งการก่อกำเนิดอารยธรรมขั้นสูงไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน แต่ใช้เวลาเป็นพันๆ ปี ดังเช่นอารยธรรมของโลกเรา

ทั้งนี้ ดาวที่มีความเป็นไปได้ยังต้องมีธาตุเหล็กประกอบอยู่ในชั้นบรรยากาศอย่างน้อย 50% หากน้อยกว่านั้น จะไม่เอื้ออำนวยต่อการก่อกำเนิดของดาวเคราะห์ที่อุดมไปด้วยก้อนหินเหมือนกับ โลกรอบๆ ดาวฤกษ์ดวงนั้น

ขณะเดียวกัน ดวงดาวที่มีมวลสารหนาแน่นกว่าดวงอาทิตย์เกิน 1.5 เท่า ยังมีแนวโน้มว่าจะมีอายุไม่ยืนยาวพอผลิตสิ่งที่เรียกว่า ‘พื้นที่อยู่อาศัย’ ซึ่งหมายถึงบริเวณรอบๆ ดวงดาวที่ดาวเคราะห์ภายในโซนนั้นสามารถที่จะมีน้ำอุดมสมบูรณ์บนพื้นผิว ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นสำหรับสิ่งมีชีวิต

ทั้งนี้ เนื่องจากหากดาวเคราะห์อยู่ใกล้ดาวฤกษ์เกินไป ความร้อนจะทำให้น้ำระเหยกลายเป็นไอ แต่ถ้าไกลเกินไป น้ำอาจแข็งตัวกลายเป็นน้ำแข็ง

นักวิจัยของสถาบันคาร์เนอร์กียังตัดดาวฤกษ์ที่มีบริวารจำนวนมากออกไป เนื่องจากดาวบริวารเหล่านั้นอาจรบกวนพื้นที่อยู่อาศัย

ทางด้าน จิลล์ ทาร์เตอร์ (Jill Tarter) แห่งสถาบันเซติ กล่าวในที่ประชุมเดียวกันว่า นับจากนี้ต่อไป เซติจะฝึกการใช้เครื่องตรวจวัดคลื่นวิทยุทางไกลโดยเน้นที่ดาว 5 ดวงในลิสต์ของ ดร. เทิร์นบูล ซึ่งนอกเหนือจากดาวเบตา ซีวีเอ็นแล้วยังประกอบด้วย

ดาวเอชดี 10307 ซึ่งเป็นดาวในระบบสุริยะเหมือนกับโลก อยู่ห่างออกไป 42 ปีแสง มีมวลสาร อุณหภูมิ โลหะเกือบเหมือนกับดวงอาทิตย์ และมีดาวบริวารหนึ่งดวง

ดาวเอชดี 211415 มีโลหะเป็นองค์ประกอบครึ่งหนึ่งของดวงอาทิตย์ เย็นกว่าดวงอาทิตย์นิดหน่อย และอยู่ไกลกว่าเอชดี 10307 เล็กน้อย ดาว 18 สโก (18 Sco) ในกลุ่มดาวแมงป่อง มีลักษณะใกล้เคียงจนถูกเรียกว่าเป็นคู่แฝดของดวงอาทิตย์

สุดท้ายคือ ดาว 51 ปิกาซัส (Pegasus 51) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี โดยในปี 1995 นักดาราศาสตร์สวิสรายงานว่า ตรวจพบดาวเคราะห์ดวงแรกเหนือระบบสุริยะ โคจรอยู่รอบดาวฤกษ์ดวงนี้ และไม่นานนักดาราศาสตร์อเมริกันยืนยันว่า พบวัตถุที่คล้ายกับดาวพฤหัสในบริเวณเดียวกัน

----------------------------
เหลือเชื่อผีกลัวคลื่นมือถือ

สื่อผู้ดีระบุหลังจากโทร.มือถือแพร ่หลาย ทำให ้คนเห็นภูติผีปีศาจน ้อยลง หมอเทพพนม เมืองแมน ซึ่งศึกษาด ้านนี้รับว ่ามือถือน ่าจะไล ่ผีจริง เพราะพลังแม ่เหล็กคลื่นสั้นจากโทรศัพท ์ ทำให ้ผีซึ่งมีพลังแม ่เหล็กคลื่นสั้นเหมือนกันต ้องย ้ายไปอยู ่ในจุดที่มีคลื่นน ้อยกว ่า ยันผีมีจริง ล ่าสุดภาพถ ่ายงานกล ้วยไข ่ กำแพงเพชร มีหน ้าหญิงสาวที่เพิ่งถูกฆ ่าข ่มขืนโผล ่ให ้เห็น

หมอเทพนม เมืองแมน ชี้โทรศัพท์มือถือไล่ผีได้จริงตามที่สมาคมค้นคว้าทางจิตของอังกฤษระบุ เผยพลังแม่เหล็กคลื่นสั้นจากโทรฯมือถือนับล้านเครื่อง ทำให้ผีซึ่งมีคลื่นสั้นเหมือนกันต้องเคลื่อนไปอยู่ในจุดที่มีคลื่นน้อยกว่า ยันผีมีจริง เผยภาพถ่ายงานกล้วยไข่กำแพงเพชรมีหน้าหญิงสาวที่เพิ่งถูกฆ่าข่มขืนโผล่มา ด้วย

ตามที่หนังสือพิมพ์-ยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ"ซันเดย์ เอ็กซ์เพรส" ได้ตีพิมพ์ผลการค้นคว้าของผู้เชี่ยวชาญสมาคมค้นคว้าทางจิตแห่งอังกฤษ โดยระบุว่า ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่เริ่มมีโทรศัพท์มือถือใช้กัน จนปัจจุบันมีการใช้โทรศัพท์มือถือในอังกฤษมากถึง 39 ล้านเครื่อง ทำให้ข่าวเรื่องคนเห็นภูติผี ปีศาจน้อยลง ผิดกับก่อนหน้านี้จะมีข่าวเรื่องนี้เป็นประจำ

ข่าวยังระบุอีกว่า นักวิทยาศาสตร์เห็นว่าปรากฏการณ์การเห็นภูติผีที่มีการร่ำลือกันต่าง ๆ นานา เกิดจากปฏิกริยาไฟฟ้าที่ผิดปกติ และเหตุที่ข่าวเรื่องภูติผี ปีศาจหมดไป คงเป็นเพราะโดนเสียงกริ่งเรียกของโทรศัพท์มือถือ และเสียงเตือนการรับส่งข้อความกันทางโทรศัพท์ดังกลบก็เป็นได้

ศ.นพ.ดร .เทพนม เมืองแมน นายกสมาคมค้นคว้าวิทยาศาสตร์ทางจิตแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เรื่องนี้มีความเป็นได้มาก เพราะภูติผีมีลักษณะเป็นพลังแม่เหล็กคลื่นสั้นเหมือนกับคลื่นที่ใช้ใน โทรศัพท์มือถือ
เมื่อมีการใช้โทรศัพท์มือถือกันมากหลายล้านเครื่องแบบในปัจจุบัน ทำให้คลื่นในอากาศมีจำนวนมาก พลังแม่เหล็กคลื่นสั้นที่คนเราเรียกว่าผีก็อาจจะไหลจากจุดหนึ่งไปอยู่อีกจุด หนึ่ง โดยเฉพาะในจุดที่ไม่มีคลื่นมากนักหรือมีคลื่นอื่น ๆ รบกวน

ศ.นพ.ดร .เทพนม กล่าวต่ออีกว่า ปกติบรรดาภูติผี ปีศาจ มักจะไม่ชอบสถานที่มีแสงสว่าง แสงไฟ หรือที่มีเสียงดัง คนทั่วไปจึงจะไม่เห็นการปรากฏกายของภูติผีในสถานที่แบบนี้ เพราะการปรากฏกายจะต้องรวบรวมพลังรวมกับฝุ่นในอากาศ คนจึงจะมองเห็นได้

ศ.นพ.ดร .เทพนม ยังได้เล่าประสบการณ์ลี้ลับที่เคยพบด้วยตัวเองว่า ปัจจุบันยังมีคนพบเห็นผี หรือปรากฏการณ์ลี้ลับอยู่เรื่อย ๆ ล่าสุดเมื่อ 3 เดิอนที่ผ่านมา ตนและเพื่อนได้เดินทางไปร่วมงานประกวดกล้วยไข่ที่จังหวัดกำแพงเพชร เพื่อนของตนได้ถ่ายรูปกล้วยไข่ที่ได้รับรางวัลด้วยกล้องดิจิทัล ปรากฏว่ามีใบหน้าผู้หญิงสาวรุ่นติดมาด้วย เห็นเค้าโครงหน้าอย่างจัดเจน เมื่อนำไปให้ผู้ที่มาร่วมงานดู ก็ได้รับการยืนยันว่าผู้หญิงในรูปเป็นคนเดียวกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ที่เพิ่งถูกฆ่าข่มขืนตายก่อนหน้านั้น 2-3 วัน และตายในบริเวณใกล้เคียงกับสถานที่จัดงาน ตนจึงขอก๊อปปี้ภาพจากเพื่อนเพื่อเก็บไว้ศึกษาด้วย

นายกสมาคมค้นคว้า วิทยาศาสตร์ทางจิตแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เมื่อ 7-8 ปีที่ผ่านมา ตนได้ถ่ายภาพผู้เข้าร่วมประชุมในการประชุมประจำเดือนของสมาคมฯ ก็ปรากฏภาพผู้หญิงแก่คนหนึ่งใบหน้าคล้ายคุณแม่ของตนมากปะปนอยู่กับผู้เข้า ร่วมประชุม
คนอื่น ๆ แม่ของตนใส่แว่นตา ชอบใสเสื้อผ้าเป็นผ้าไหมสีน้ำตาล ติดเข็มกลัดเพชรที่หน้าอกด้านซ้าย ขอบใส่นาฬิกาโบราณสายสีดำซึ่งเป็นเรือนที่คุณพ่อซื้อให้ ผู้หญิงที่ปรากฏภาพก็มีลักษณะเหมือนกันทุกประการ

ผู้เข้าร่วม ประชุมในครั้งนั้นมีอาจารย์หมอจากมหาวิทยาลัยมหิดล และรู้จักคุณแม่ตนดีเพราะท่านเคยเป็นผอ.อยู่โรงพยาบาลศิริราช ต่างก็ตกใจและยืนยันว่าเป็นแม่ตนแน่นอน บ้างคนก็ว่าจะเป็นไปได้อย่างไรเพราะคุณแม่ของตนเสียชีวิตไปก่อนหน้านั้น 2 ปีแล้ว แต่ก็ต้องเชื่อเพราะภาพที่ได้ ถ่ายจากกล้องโพลารอยด์สามารถเห็นได้ทันทีและตัดต่อภาพไม่ได้

"เรื่องภูติผี ปีศาจอาจเป็นเรื่องความเชื่อของบุคคล แต่ก็มีหลักฐานยืนยันได้ ผมยืนยันได้ว่าผีมีจริงแน่นอน" ศ.นพ.ดร.เทพนม กล่าว

ด ้าน รศ.ดร.ชัยวัฒน ์ คุประตกุล นักสื่อสารทางวิทยาศาสตร ์ดีเด ่น ปี 2538 อดีตอาจารย ์ภาควิชาฟ"สิกส ์ มศว ประสานมิตร กล ่าว ว ่า ผีที่ทุกคนรู ้จัก คือพลังงานแม ่เหล็กไฟฟ ้าชนิดหนึ่ง ขณะเดียวกันโทรศัพท ์มือถือก็เป็นคลื่นแม ่เหล็กไฟฟ ้า ที่ระบุว ่าเมื่อใช ้มือถือมาก ๆ แล ้ว ไม ่เห็นภูติผีปิศาจ ไม ่ใช ่เป็นการไล ่ผี แต ่คลื่นแม ่เหล็กไฟฟ ้ามีเยอะอาจถ ่ายเทไปจุดอื่น ในทางกลับกันการใช ้มือถือซึ่งมีคลื่นแม ่เหล็กไฟฟ ้ามาก อาจทำให ้เห็นภาพต ่าง ๆ มากขึ้น แต ่เราไม ่คิดว ่า เป็นผี เพราะคนมีความรู ้ในการพิจารณา การถ ่ายภาพหรือวิดีโอแล ้วมีภาพหรือเงานั้น ในอนาคตก็จะเห็นมากขึ้น เพราะวิทยาการล้ำหน ้า เครื่องถ ่ายภาพสามารถจับคลื่นแม ่เหล็กไฟฟ ้าได ้มาก

มนุษย์ต่างดาวและ UFO มีจริงหรือไม่

ในอดีต สำหรับวงการวิทยาศาสตร์แล้ว เรื่องมนุษย์ต่างดาว ถือเป็นเรื่องที่มีจริงเฉพาะในจินตนาการคือ ในนิยายวิทยาศาสตร์ แต่มาปัจจุบันนี้ คำตอบสั้นๆ ตรงๆ คือ เรา...มนุษย์โลก...น่าจะมิได้อยู่เพียงลำพังในจักรวาล นั่นคือ ในอวกาศและจักรวาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บนดาวเคราะห์ของระบบสุริยะอื่นๆ ที่มีอยู่มากมาย เป็นไปได้อย่างยิ่งว่า มีสิ่งมีชีวิตถือกำเนิดเกิดขึ้นได้ แต่จะพัฒนาถึงระดับเป็นชีวิตทรงปัญญาเรียกว่า มนุษย์หรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
อย่างไรก็ดี เมื่อเปรียบเทียบกับสภาพของสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์โลกของเรา ก็เป็นไปได้มากว่า น่าจะมีสิ่งมีชีวิตที่ได้ถือกำเนิดเกิดขึ้นมาก่อนมนุษย์บนดาวเคราะห์โลก และจึงน่าจะพัฒนา คือมีระดับปัญญาสูงกว่ามนุษย์โลกเสียอีก ซึ่งหมายความว่า ในจักรวาล น่าจะมีสิ่งมีชีวิตที่ทรงปัญญาถึงขั้นเรียกเป็นมนุษย์โลกได้อยู่มากทีเดียว ทั้งนี้เพราะว่า ดาวเคราะห์โลก มีกำเนิดมาเพียงประมาณสี่พันหกร้อยล้านปี ในขณะที่จักรวาลมีกำเนิดมาเมื่อหนึ่งหมื่นสี่พันล้านปีมาแล้ว จึงต้องมีดาวเคราะห์ของระบบสุริยะอื่นๆ เป็นจำนวนมากทีเดียว ที่เกิดก่อนดาวเคราะห์โลกมาก สิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์เหล่านั้น ก็จะต้องเกิดก่อนมนุษย์โลกเป็นเวลานาน อาจเป็นหลายพันล้านปี และชีวิตทางปัญญาบนดาวเคราะห์เหล่านั้นก็น่าจะพัฒนาทางปัญญามากกว่ามนุษย์ โลกเป็นอย่างมาก
สรุปแล้ว มนุษย์ต่างดาวมีแนวโน้มว่า จะมีอยู่จริง แต่โอกาสที่มนุษย์ต่างดาวจะมีรูปร่างหน้าตาและองค์ประกอบของร่างกายหรือ ชีวิตมนุษย์ต่างดาวที่เหมือนกับมนุษย์โลกนั้น มีอยู่น้อยมาก หรือจะกล่าวว่า ไม่มีโอกาสเหมือนมนุษย์โลกเลย ก็ได้
สำหรับเรื่อง UFO ซึ่งมักจะถูกผูกโยงเป็นเรื่องเดียวกันกับเรื่องของมนุษย์ต่างดาวนั้น จริงๆ แล้ว ก็แยกศึกษาจากเรื่องของมนุษย์ต่างดาวได้
โดยภาพรวม ปรากฏการณ์เรื่อง UFO หรือสิ่งบินลึกลับ เป็นปรากฏการณ์ที่มีอยู่จริง มีรายงานการพบเห็น UFO เป็นจำนวนมากมายทั่วโลกจริง รวมทั้งในประเทศไทยด้วย แต่ในบรรดารายงานเรื่อง UFO เป็นจำนวนหลายหมื่นรายงานทั่วโลก เมื่อตรวจสอบอย่างละเอียด อย่างเป็นหลักเป็นฐานแล้ว ส่วนใหญ่ คือประมาณ 85% มิใช่สิ่งบินลึกลับแต่อย่างใด หากอธิบายได้ว่า เป็นปรากฏ-การณ์ธรรมชาติ หรือเป็นปรากฏการณ์เกี่ยวกับเรื่องภาพลวงตา เป็นแสงจากเครื่องบิน หรือเฮลิคอปเตอร์ หรือบัลลูน หรือยานทดลองของบางประเทศ หรือเป็นดาวศุกร์ รวมทั้งเป็นเรื่องของการสร้างฉากสร้างเรื่องขึ้นมาหลอกลวงอย่างตั้งใจ เช่น ใช้หมวกร่อนไปในอากาศ แล้วถ่ายภาพ หรือสร้างยานบินรูปร่างแปลกๆ หลอกๆ แล้วถ่ายภาพ
อย่างไรก็ตาม ก็มีรายงานเกี่ยวกับ UFO อีกประมาณ 15% ที่น่าสนใจ ที่ยังอธิบายไม่ได้ และ UFO เหล่านี้ เป็น UFO จริงๆ คือ ภาพหรือสิ่งบินลึกลับจริงๆ จนกว่าจะได้รับการพิสูจน์ว่าเป็น UFO ต่อไปอยู่อีก หรือเปลี่ยนเป็น IFO (Identified Flying Object = สิ่งบินไม่ลึกลับ) ไปแล้ว

หิมะ จากเยอรมัน ภาพสวยๆ ฤดูหิมะตก

หิมะตก

หิมะตก

หิมะตก

หิมะตก

หิมะตก

หิมะตก

หิมะตก

หิมะตก

หิมะตก

หิมะตก

หิมะตก

หิมะตก

หิมะตก

หิมะตก

หิมะตก

หิมะตก

วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2552

10 อันดับเพลงญี่ปุ่นสุดฮิตตลอดกาล

10 อันดับเพลงญี่ปุ่นสุดฮิตตลอดกาล
10. Say Anything & ENDLESS RAIN (X JAPAN)


เพลงแรกดังได้เพราะถูกนำทำนองไปก็อปปี้ ส่วนเพลงหลังดังในฐานะที่เป็นเพลงบัลลาดที่ฮิตที่สุดของ X JAPAN เพลง ENDLESS RAIN เคยถูกบรรดาศิลปินไทยสไตล์อัลเทอร์เนทีฟนำไปร้องร่วมกันปิดงานคอนเสิร์ตใหญ่ เลยทีเดียวจำได้ เหมือนเป้นเพลงร็อคที่ยิ่งใหญ่สุดในช่วง นั้น เทียบเท่าเพลงอย่าง We are the world, We are the champion เพลง Say Anything และ ENDLESS RAIN นั้นดังในฐานะเพลงของ
X JAPAN มากกว่าที่จะดังเพราะตัวเพลงเอง พูดง่ายๆคือชื่อศิลปินดังกว่าตัวเพลงมากๆนั่นเอง แล้วคนไทยก็รู้จักชื่อ X JAPAN มากกว่ารู้จัก ชื่อสองเพลงนี้ด้วย

นี่เพลง ENDLESS RAIN http://www.pingbook.com/music/listen.php?id=226&song_id=3112&listen=normalasx


9. Ue o muite arukou (Kyu Sakamoto)

เป็นเพลงญี่ปุ่นที่ดังที่สุดในโลกตั้งแต่ยุค 60 แต่ในไทยมักจะรู้จักในนามเพลง SUKIYAKI ซึ่งเป็นชื่อเพลงเวอร์ชั่นคัฟเวอร์ของวงฝรั่ง เพลงนี้มีการนำทำนองไปร้องในหลายภาษารวมทั้งภาษาไทยด้วย เหมือนเพลงฝรั่งดังๆในยุคนั้นที่หลายๆประเทศเอาทำนองไปใส่เนื้อ ร้องภาษาของตน


8. Subaru (Shinji Tanimura)

ในช่วงประมาณปี 1980 เป็นเพลงที่ดังมากที่ญี่ปุ่น และในสมัยนั้นที่เมืองไทย มีการใช้เพลงนี้ประกวดร้องเพลง Subaru Awards ซึ่งในยุคนั้นเป็นยุคที่การเรียนร้องเพลงสำหรับเยาวชนเริ่มเข้ามา โดย YAMAHA เป็นผู้บุกเบิก หากได้รับความสนใจและดำเนินการ ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ป่านนี้เด็กไทยคงจะมีพื้นฐานทางดนตรีที่แน่นหนา ไม่แพ้เด็กญี่ปุ่นแน่นอน น่าเสียดาย


7. Pieces (L'Arc~en~Ciel)

เป็นเพลงที่ฮิตในวงกว้าง ได้ผ่านหูคนทั่วๆไปในยุคนั้น เพราะ 1. มีการโปรโมทที่ดี 2. ตัวเพลงมันสุดยอด ทำให้ฮิตได้มาก ซึ่งเป็นโมเดล เพลงตัวอย่างเลยว่า ถ้าเจ้าของลิขสิทธิ์ทุ่มทุนมีใจให้ แล้วสื่อไทยเต็มใจโปรโมท จะมีเพลงญี่ปุ่นเพราะๆ กว่านี้อีกมากมายที่ผ่านเข้าสู่หู คนไทยแล้วฮิตติดแนบแน่นเหมือนเพลงภาษาอังกฤษทุกวันนี้เลย



6. CHA-LA HEAD CHA-LA~Dragon Ball Z (Hironobu Kageyama)

เพลงดราก้อนบอล(แซ่ด) ที่หลายคนร้องกันติดปากได้ในท่อนฮุค"ชา ลา เฮ่ด ชา ลา" เป็นเพลงที่อยู่คู่กับการ์ตูนเรื่องนี้ที่ฉายยาวนาน หลายปี ส่งผลทำให้เพลงนี้ซึมซับเข้าไปในคนที่ได้ดูการ์ตูน เรื่องนี้ทางทีวีอย่างไม่ได้ตั้งใจ


5. Last Chance (Something ELse)

เพลงญี่ปุ่นที่ฮิตโดยบังเอิญ แต่ฮิตในฐานะเพลงสากลในยุคที่เพลงสากลกำลังอินเทรนด์ปี 1999 ทั้งๆที่เพลงนี้เป็นเพลงสไตล์ญี่ปุ่นที่ ไม่มีกลิ่นอายดนตรีแบบเพลงฝรั่ง แต่พอดีท่อนฮุคเป็นภาษาอังกฤษที่ติดปากแล้วทำนองมันลงตัว เพลงเพราะฟังเบื่อยากจนทำ ให้คนฟัง เพลงทั่วๆไปยังจำได้ไม่ลืมจนถึงวันนี้แน่นอน


4. Ikkyu san

เป็นการ์ตูนดังที่อยู่คู่กับสังคมมานานเป็นสิบๆ ปี เป็นการ์ตูนเรื่องเดียวที่ได้รับการยอมรับจากสังคมไทยทั่วไป ว่ามีสาระเหมาะกับเยาวชน อย่างแท้จริง ไร้ที่ติให้พวกอคติโจมตี ด้านตัวเพลงที่มีความเพราะติดหูโดดเด่นฟังง่าย จนชวนให้นึกถึงและเพลงก้องในหูทันทีที่พูด ถึงการ์ตูนเรื่องนี้


3. Bye Bye Boy(By Nanase Aikawa)

เริ่มดังเพราะถูกนำไปเปิดในผับในยุคเที่ยวผับฟี เวอร์ ดังขนาดคนที่ไม่เที่ยวผับก็ยังต้องรู้จัก เพราะถูกพูดถึงและกระหน่ำเปิดในที่สาธารณะ อย่างแพร่หลายในช่วงนั้น ดังถึงขนาด เทพ โพธ์งาม นำทำนองไปแปลงเป็นเพลงตลกของเค้า จนถึงทุกวันนี้ พูดถึงชื่อเพลง พูดถึงชื่อศิลปิน ไม่มีใครรู้จักแน่ แต่ถ้าเปิดให้ฟังรับรอง อ๋อ..จำได้


2. Shinchan

ทั้งตัวเพลงต้นฉบับภาษาญี่ปุ่นและเพลงในรูปแบบ ภาษาไทยที่ถูกแปลงจนฮิตติดปากวัยรุ่นอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ดูเหมือนจะดังเพราะ เนื้อร้อง ภาษาไทยมากกว่า^^; แต่ก็นับว่าเป็นเพลงญี่ปุ่นเพลงหนึ่งที่ทุกคนคุ้นห ูและถูกพูดถึงในคำว่า "เพลงชินจัง" ขนาดคนที่ฟัง แต่เวอร์ชั่น ญี่ปุ่นยังเผลอร้องเนื้อไทยออกมา

:เวอร์ชั่นนี้ก็เพราะครับ
http://www.esnips.com/doc/471d8fd2-d019-49bf-a8e2-4c4c7aab29e5/crayon-shinchan---tsukiakari-funwari-ochitekuru-yoru



1. Doraemon

การ์ตูนญี่ปุ่นสุดฮิตอันดับ 1 ของไทยและของโลก ส่งผลให้เป็นเพลงญี่ปุ่นสุดฮิตอันดับ 1 ที่คนไทยทุกเพศทุกวัยรู้จัก ทำนองน่ารักๆ ชวนให้มั่วร้องดำน้ำเนื้อภาษาญี่ปุ่น กลายเป็นเพลงสุดคลาสสิคสำหรับทุกยุคสมัยของโลกนี้ไปแล้ว ไม่เฉพาะในไทย ...ว่าแล้วก็
ฮัมทำนองตาม.. "อั๊ง อัง อั่ง ดึ่ดื้อดือดุ...fg#!@%U@**^ โดราเอ มออึ่ง"

วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2552

10 อันดับรถที่แพงที่สุดในโลก












มหาเศรษฐี"หลิน ซื่อหรง" และห้องน้ำทองคำที่สร้างชื่อ‏

*** มหาเศรษฐี"หลิน ซื่อหรง" และห้องน้ำทองคำที่สร้างชื่อ ***

- หลิว ซื่อหรงในวันที่ประสบความสำเร็จในการสร้างคฤหาสน์-ห้องน้ำทองคำ
- ความหรูหราของกระจกทองคำในห้องน้ำแห่งนี้
- ทุกส่วนประกอบเป็นทองคำแท้ๆ


หลายคนคงไม่เข้าใจว่าทำไมผมจึงใช้ทองคำมากมายมหาศาลเ พื่อสร้างห้องน้ำเพียงหนึ่งห้อง คงไม่ใช้อวดร่ำอวดรวยแน่นอน เพราะผมก็ไม่ชอบการใช้จ่ายอย่างสิ้นเปลืองด้วย แต่ผมกำลังทำให้หนึ่งฝันของผมกลายเป็นจริง ไม่ว่าจะเปลี่ยนดินให้เป็นทอง หรือจะเปลี่ยนทองให้กลายเป็นดินต่างก็เป็นเรื่องที่ห าได้ยาก – หลิน ซื้อหรง

แต่วันนี้(26 ตุลาคม 2551) หลิน ซื่อหรง(ลัม ไซ-วิง)มหาเศรษฐีเจ้าของห้างจิวเวอรีชื่อดังแห่งฮ่องกงไ ด้ลาจากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันหวลกลับ ด้วยวัย 53 ปี ขณะที่ทิ้งเอาไว้ซึ่งทรัพย์สมบัติมูลค่ามหาศาลให้กับ คนในครอบครัวของเขา โดบเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ระบุว่า สาเหตุการเสียชีวิตของท่านเจ้าสัวท่านนี้เกิดจากหัวใ จวายเฉียบพลัน

ย้อนเหตุการณ์ไปในวันที่ท่านเจ้าสัวเสียชีวิต คนขับรถส่วนตัวของหลิน ซื่อหรงเล่าว่าเขายืนคอยเจ้านายอยู่ที่ประตูหน้าบ้าน เป็นเวลานานเพื่อพาเจ้าสัวหลินไปยังสนามเทนนิส ทว่าคอยถึงเวลาบ่ายสองก็รู้สึกเอะใจ จึงขึ้นไปตามเจ้านายที่ห้องส่วนตัว เรียกอยู่นานและเนื่องจากประตูล็อคเปิดเข้าไปไม่ได้ จึงเรียกให้คนในบ้านมาช่วยพังประตู ในที่สุดภาพที่ทุกคนเห็นคือ เจ้าสัวนอนที่เตียงไม่ไหวติง

เส้นทางสู่เจ้าสัวห้างทอง

หลิน ซื่อหรงเกิดเมื่อปีค.ศ. 1955 เป็นคนเมืองเฮิงเฟิง มณฑลกว่างตง(กวางตุ้ง) เกิดและเติบโตมาในครอบครัวชาวนาธรรมดา กระทั่งเติบใหญ่เด็กหนุ่มวัย 22 ปี ที่ต้องการออกเผชิญโลกกว้างจึงแอบว่ายน้ำข้ามฝั่งไปย ังเกาะฮ่องกงในปี 1997 เมื่อขึ้นฝั่งได้ก็หลบเจ้าหน้าที่เข้าเมือง เดินทางไปยังโหยวหม่าตี้ ซึ่งเป็นย่านเศรษฐกิจและย่านเก่าแก่แห่งหนึ่งของฮ่อง กง หลินพบว่าที่นี้มีร้านทองมากมายยิ่งกว่าร้านขายข้าวส าร ในหัวจึงดีดลูกคิดในทันใด พร้อมกันนั้นก็คิดตัดสินใจจะต้องทำธุรกิจค้าทองคำ โดยเริ่มแรกได้เข้าไปทำงานเป็นเด็กฝึกงานในร้านทองแห ่งหนึ่ง

ด้วยความที่เป็นคนขยันและมุมานะในการทำงาน นอกจากนี้ยังมีฝีมือในการตีทองอย่างประณีต อีกทั้งมีความสามารถในการดูเพชร ในที่สุดจึงตัดสินใจนำเงินที่เก็บออมได้ราว 300 หยวน มาเปิดร้านขายเครื่องประดับของตัวเอง และด้วยฝีมือที่ละเอียดอ่อน เนื้องานสวยงามกว่าร้านอื่นในละแวกเดียวกัน จึงทำให้มีลูกค้าแวะเวียนเข้ามาไม่ขาดสาย และเวลานี้เองการค้าของเขาก็เจริญรุ่งเรืองกิจการโตว ันโตคืน

อย่างไรก็ดี ในปีค.ศ. 1980 ร้านเครื่องประดับของเขาได้รับผลกระทบรุนแรงจากสงครา มอิรัก-อิหร่าน เพราะราคาทองคำในตลาดฮ่องกงพุ่งสูงจนคนไม่กล้าซื้อ ทว่าท่ามกลางวิกฤติหลิน ซื่อหรงกลับมองเห็นโอกาส เปลี่ยนกลยุทธิ์จับทองคำขาวบุกเบิกตลาดในยุโรป ในที่สุดจึงสามารถก้าวผ่านวิกฤตได้อย่างสวยงาม จนยุคนั้นหลินได้สมญานามว่า “เจ้าสัวทองคำขาว”

และต่อมาหลินได้ก่อตั้งบริษัทเป็นของตัวเองภายใต้ชื่ อว่า “ฮั่งเฟิง โกล์ด เทคโนโลยี กรุ๊ป” ซึ่งได้จดทะเบียนเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ในปี 1999 และก่อตั้งบริษัทจิวเวอรี่ชื่อ “ทรีดี-โกล์ด” เมื่อปี 2000 นับได้ว่าจากเด็กฝึกงานคนหนึ่งสามารถผงาดขึ้นสู่เจ้า สัวทองคำแห่งยุคของฮ่องกงได้อย่างสง่าผ่าเผย

ภูมิใจในสิ่งที่ทำ

เมื่อธุรกิจลงตัวและประสบความสำเร็จ วันหนึ่งเจ้าสัวหลินก็ปรารภต้องการสร้างสุขา แต่หากไม่ใช่สุขาธรรมดา ระดับเจ้าสัวหลินต้องการสร้างห้องน้ำทองคำที่มีเพียง หนึ่งเดียวในโลก เพื่อดึงภาพวาดในความฝันให้เป็นความจริง เจ้าสัวใช้เวลา 3 เดือนเต็มในการเกลี้ยกล่อมคณะผู้บริหารในบอร์ดของบริ ษัท ในที่สุดก็สามารถนำทองคำจากร้านสาขาของฮั่งเฟิง ที่อยู่ในย่านจิมซาจุ่ยมาสร้างเป็นสุขาสุดหรู พร้อมกันนี้เจ้าสัวหลินยังเป็นผู้ดูแลออกแบบการสร้าง เองทั้งหมดอีกด้วย

รวมระยะเวลาเบ็ดเสร็จในการสร้างสุขาแห่งนี้หนึ่งปีเต ็ม โดยที่ใช้ทองคำทั้งสิ้น 380 กิโลกรัม และอัญมณีเลอค่าจำนวน 6,200 เม็ด แม้กระทั่งพื้นห้องน้ำก็ใช้ฟอสซิลไม้กลายเป็นหินที่ม ีอายุถึง 150 ล้านปี ส่วนระบบน้ำในสุขาระดับเดอลุกซ์แห่งนี้ก็ถูกตั้งค่าใ ห้ไหลเวียนแบบอัตโนมัติ ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกหลังสร้างเสร็จเมื่อปี 2001 ทุกคนที่ได้เข้าชมสุขาที่เจ้าสัวริเริ่มสร้างต่างก็ร ู้สึกอึ้งในความอลังการ เพราะไม่ว่าจะเป็นของใช้อย่างกล่องกระดาษชำระ อ่างล้างหน้า แปรงสีฝัน กรอบกระจก โคมไฟ ทุกอย่างล้วนสร้างขึ้นจากทองคำแท้ที่อร่ามตาทั่วห้อง ซึ่งมีมูลค่า 38 ล้านเหรียญฮ่องกง

ด้วยความหรูหรา อลังการงานสร้างทำให้ปะติมากรรมของเขาได้รับการบันทึ กไว้ในกิสเนสบุ๊กเมื่อปี 2002 ถึงสองรายการ ได้แก่ “สุขาที่หรูหราที่สุดในโลก” และ “สุขาที่แพงที่สุดในโลก” ทั้งนี้ห้องน้ำทองคำตั้งอยู่ในเขตจิ่วหลง ถนนหมินเล่อ ปัจจุบันกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวฮอตฮิต หากใครไปเยือนฮ่องกงเป็นต้องแวะไปชมด้วยตาตัวเองสักค รั้ง

หลิน ซื่อหรงเผยว่า หลังจากที่เข้าสร้างห้องน้ำทองคำเสร็จแล้ว มีนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หลายรายทั้งในสิงคโปร์และ จีนแผ่นดินใหญ่ขอเจรจาซื้อขายในราคาค่อนข้างสูง แต่เจ้าตัวก็ปฏิเสธคำขอเหล่านั้น โดยให้เหตุผลว่าห้องน้ำเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของฮ่องก ง และกล่าวว่าห้องน้ำทองคำหลังนี้เป็นสิ่งมีค่าและมีคว ามหมายอย่างยิ่งในชีวิตของเขา ปัจจุบัน(ปี 2008) มูลค่าของห้องน้ำทองคำแห่งนี้มากกว่า 90 ล้านเหรียญฮ่องกงแล้ว

ความเป็นมาวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวา ( วันพ่อ )

5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทางราชการได้กำหนดให้เป็นวันหยุดราชการหนึ่งวัน เพื่อให้ประชาชนชาวไทย ได้ร่วมกันเฉลิมฉลองในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ ถือเป็นวันพ่อแห่งชาติ อีกวันหนึ่งด้วย วันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีความเป็นมาของวันสำคัญ คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ณ โรงพยาบาล เมาท์ ออเบิร์น นครบอสตัน สหรัฐอเมริกา โดยนายแพทย์วิทท์มอร์ เป็นผู้ถวายการประสูติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ 9 แห่งบรมจักรีวงศ์ กรุงรัตนโกสินทร์ ทรงประกอบพระราชกรณียกิจและเจริญพระราชจริยาวัตรเป็นเอนกประการ จำเนียรกาลผ่านมาถึงปัจจุบันที่สุดจะพรรณนาให้ครบถ้วนได้ ท่ามกลางมหาสมาคมวันพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก ทรงมีกระแสพระราชดำรัสที่พสกนิกรทุกคนยังจดจำได้ "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม" อันคำว่าโดย "ธรรม" นั้น ทรงหมายถึง ธรรมอันล้ำเลิศที่เรียกว่า "ทศพิธราชธรรม" หรือที่เรียกกันโดยสามัญว่า "ราชธรรม 10 ประการ" ราชธรรม 10 ประการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงยึดมั่นทรงปฎิบัติโดยเคร่งครัด และส่งผลถึงพสกนิกรทั่วพระราชอาณาจักรนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเหนือเกล้าฯ

วันพ่อแห่งชาติ ได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2523 โดยคุณหญิงเนื้อทิพย์ เสมรสุต นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษาเป็นผู้ริ่เริ่ม หลักการและเหตุผลในการจัดตั้งวันพ่อ โดยที่พ่อเป็นผู้มีพระคุณที่มีบทบาทสำคัญ ต่อครอบครัวและสังคม สมควรที่ผู้เป็นลูกจะเคารพเทิดทูนตอบแทนพระคุณด้วยความกตัญญู และสมควรที่สังคมจะยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ่อ จึงถือเอาวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปีซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาเป็น "วันพ่อแห่งชาติ" ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาว ไทยอย่างนานัปการ ทรงเป็นพระราชบิดาของพระราชโอรสและพระราชธิดา ทรงรักใคร่และห่วงใยตั้งแต่พระเยาว์จนถึงปัจจุบัน รวมทั้งพระเจ้าหลานเธอทุกพระองค์ต่างซาบซึ้งและปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณ อย่างมิรู้ลืม พระองค์ทรงเป็น "พ่อ" ตัวอย่างของปวงชนชาวไทยที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตากรุณา ทรงห่วงใยอย่างหาที่เปรียบมิได้

วันแม่ในประเทศต่าง ๆ

ประเทศอื่น ๆ ก็มีการกำหนดวันแม่ไว้เช่นเดียวกัน ตัวอย่างเช่น สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น ใช้วันอาทิตย์ที่สองของเดือนพฤษภาคม ประเทศรัสเซียใช้วันที่ 28 พฤศจิกายน เป็นต้น

อาทิตย์ที่สองของเดือนกุมภาพันธ์ นอร์เวย์
8 มีนาคม บัลแกเรีย, แอลเบเนีย
อาทิตย์ที่สี่ในฤดูถือบวชเล็นท์ (มาเทอริง ซันเดย์) สหราชอาณาจักร, ไอร์แลนด์
21 มีนาคม (วันแรกของฤดูใบไม้ผลิ) จอร์แดน, ซีเรีย, เลบานอน, อียิปต์
อาทิตย์แรกของเดือนพฤษภาคม โปรตุเกส, ลิทัวเนีย, สเปน, แอฟริกาใต้, ฮังการี
8 พฤษภาคม เกาหลีใต้ (วันผู้ปกครอง)
10 พฤษภาคม กาตาร์, ซาอุดีอาระเบีย, ประเทศส่วนใหญ่ในทวีปอเมริกาใต้, บาห์เรน, ปากีสถาน, มาเลเซีย, เม็กซิโก, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, อินเดีย, โอมาน
อาทิตย์ที่สองของเดือนพฤษภาคม แคนาดา, สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน), สาธารณรัฐประชาชนจีน, ญี่ปุ่น, เดนมาร์ก, ตุรกี, นิวซีแลนด์, เนเธอร์แลนด์, บราซิล, เบลเยียม, เปรู, ฟินแลนด์, มอลตา, เยอรมนี, ลัตเวีย, สโลวาเกีย, สิงคโปร์, สหรัฐอเมริกา, ออสเตรเลีย, ออสเตรีย, อิตาลี, เอสโตเนีย, ฮ่องกง
26 พฤษภาคม โปแลนด์
27 พฤษภาคม โบลิเวีย
อาทิตย์ที่สุดท้ายของเดือนพฤษภาคม สาธารณรัฐโดมินิกัน, สวีเดน
อาทิตย์แรกของเดือนมิถุนายนหรือ อาทิตย์ที่สุดท้ายของเดือนพฤษภาคม ฝรั่งเศส
12 สิงหาคม ไทย (วันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ)
15 สิงหาคม (วันอัสสัมชัญ) คอสตาริกา, แอนท์เวิร์ป (เบลเยียม)
อาทิตย์ที่สองหรือสามของเดือนตุลาคม อาร์เจนตินา (Día de la Madre)
28 พฤศจิกายน รัสเซีย
8 ธันวาคม ปานามา
22 ธันวาคม อินโดนีเซีย

กีฬาโอลิมปิก

การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก (Olympic Games) หรือ โอลิมปิกส์ (Olympics) เป็นการแข่งขันกีฬาหลายชนิด จากหลายประเทศทั่วโลกร่วมแข่งขัน โดยจัดขึ้นทุก 4 ปี และมีการแบ่งออกเป็น โอลิมปิกฤดูร้อน และ โอลิมปิกฤดูหนาว

โอลิมปิกสมัยโบราณ

ก่อนหน้าคริสตกาลกว่า 1,000 ปี การแข่งขันกีฬาได้ดำเนินการกันบนยอดเขา “โอลิมปัส” ในประเทศกรีซ โดยนักกีฬาจะต้องเปลือยกายเข้าแข่งขัน เพื่อประกวดความสมส่วนของร่างกาย และยังมีการต่อสู้บางประเภท เช่น กีฬาจำพวกมวยปล้ำ เพื่อพิสูจน์ความแข็งแรง ผู้ชมมีแต่เพียงผู้ชาย ห้ามผู้หญิงเข้าชม ดังนั้นผู้ชมจะต้องปีนขึ้นไปบนยอดเขา ครั้นต่อมามีผู้นิยมมากขึ้น สถานที่บนยอดเขาจึงคับแคบเกินไป ไม่เพียงพอที่จุทั้งผู้เล่นและผู้ชมได้ทั้งหมด ดังนั้น ในปีที่ 776 ก่อนคริสตกาล ชาวกรีกได้ย้ายที่แข่งขันลงมาที่เชิงเขาโอลิมปัส และได้ปรับปรุงการแข่งขันเสียใหม่ให้ดีขึ้น โดยให้ผู้เข้าแข่งขันสวมกางเกง พิธีการแข่งขันจัดอย่างเป็นระเบียบเป็นทางการ มีจักรพรรดิมาเป็นองค์ประธาน อนุญาตให้สตรีเข้าชมการแข่งขันได้ แต่ไม่อนุญาตให้เข้าแข่งขัน ประเภทกรีฑาที่แข่งขันที่ถือเป็นทางการในครั้งแรกนี้ มี 5 ประเภท คือ วิ่ง, กระโดด, มวยปล้ำ, พุ่งแหลน และขว้างจักร ผู้เข้าแข่งขันคนหนึ่ง ๆ จะต้องเล่นทั้ง 5 ประเภท โดยผู้ชนะจะได้รับรางวัล คือ มงกุฎที่ทำด้วยกิ่งไม้มะกอกซึ่งขึ้นอยู่บนยอดเขาโอลิมปัสนั่นเอง และได้รับเกียรติเดินทางท่องเที่ยวไปทุกรัฐ ในฐานะตัวแทนของพระเจ้า

การแข่งขันได้จัดขึ้น ณ เชิงเขาโอลิมปัส แคว้นอีลิส ที่เดิมเป็นประจำทุก ๆ สี่ปี และถือปฏิบัติติดต่อกันมาโดยไม่เว้น เมื่อถึงกำหนดการแข่งขัน ทุกรัฐจะต้องให้เกียรติ หากว่าขณะนั้นกำลังทำสงครามกันอยู่ จะต้องหยุดพักรบ และมาดูนักกีฬาของตนแข่งขัน หลังจากเสร็จจากการแข่งขันแล้ว จึงค่อยกลับไปทำสงครามกันใหม่ ประเภทของการแข่งขันได้เปลี่ยนแปลงไปบ้างในระยะต่อ ๆ มา โดยมีการพิจารณาและลดประเภทของกรีฑาเรื่อยมา อย่างไรก็ดีในระยะแรก ๆ นี้กรีฑา 5 ประเภทดังกล่าวที่จัดแข่งขันกันในครั้งแรกก็ยังได้รับเกียรติให้คงไว้ ซึ่งเรียกกันว่า เพ็นตาธรอน หรือ ปัญจกรีฑา ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการรำลึกถึงกำเนิดของกรีฑา ในปัจจุบันนี้ก็ยังมีการแข่งขันกันอยู่ แต่ประเภทของปัญจกรีฑาได้เปลี่ยนไปตามเวลา

การแข่งขันได้ดำเนินติดต่อกันมานับเป็นเวลา ถึง 1,200 ปี จนมาในปี พ.ศ. 936 (ค.ศ. 393) จักรพรรดิธีโอดอซิดุชแห่งโรมันได้ทรงประกาศให้ยกเลิกการแข่งขันนั้นเสีย เพราะเกิดมีการว่าจ้างกันเข้ามาเล่นเพื่อหวังรางวัล และผู้เล่นปรารถนาสินจ้างมากกว่าการเล่นเพื่อสุขภาพของตน รวมทั้งมีการพนันขันต่อ อันเป็นทางวิบัติซึ่งผิดไปจากวัตถุประสงค์เดิม คือ ผู้เข้าแข่งขันทั้งหลายต่างก็อยากได้ช่อลอเรลซึ่งเป็นรางวัลของผู้ชนะ ด้วยเหตุนี้เอง พระองค์จึงสั่งให้ล้มเลิกการแข่งขันนี้เสีย

ตลอดระยะเวลาที่มีการแข่งขันนั้น ได้จัดขึ้น ณ บริเวณที่แห่งเดียว คือ เชิงเขาโอลิมปัส แคว้นอีลิส จึงเรียกการแข่งขันตามชื่อของสถานที่ว่า “การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก”

การฟื้นฟูกีฬาโอลิมปิก


บารอน ปิแอร์ เดอ ดูเบอร์แตง ต้องการให้การพลศึกษา และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศดีขึ้น สิ่งเหล่านี้รวบรวมอยู่ในกีฬาโอลิมปิกสมัยใหม่

โอลิมปิกสมัยใหม่

หลัง จากโอลิมปิกโบราณได้ล้มเลิกไปเป็นเวลาถึง 15 ศตวรรษ โอลิมปิกยุคใหม่ก็เกิดขึ้น โดยมีนักกีฬาคนสำคัญของฝรั่งเศสชื่อ บารอน ปิแอร์ เดอ ดูเบอร์แตง ท่านขุนนางผู้นี้เกิดในกรุงปารีส เมื่อ 1 มกราคม พ.ศ. 2406 (ค.ศ. 1863) สนใจประวัติศาสตร์ ปัญหาการเมืองและสังคม ในปี พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) ท่านอายุได้ 26 ปี ได้เกิดความคิดที่จะฟื้นฟูการแข่งขันโอลิมปิก ซึ่งได้ล้มเลิกมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 936 (ค.ศ.393) โดยติดต่อกับบุคคลสำคัญของประเทศอังกฤษ, สหรัฐอเมริกา และฝรั่งเศส เป็นเวลาถึง 4 ปี ในที่สุดได้เปิดการประชุมอย่างไม่เป็นทางการขึ้น ที่ตำบลซอร์บอนน์ ในกรุงปารีส เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2435 (ค.ศ. 1892) และประกาศ ณ ที่นั้นว่า การแข่งขันโอลิมปิกซึ่งได้หยุดมานานกว่า 15 ศตวรรษ จักได้พื้นขึ้นใหม่เป็นการปัจจุบัน และแผนการของงานโอลิมปิกปัจจุบันนั้น ได้เป็นที่ตกลงกันในที่ประชุมจำนวน 15 ประเทศ ณ ตำบลซอร์บอนน์ ประเทศฝรั่งเศส

คณะ กรรมการผู้ริเริ่ม ได้ลงมติว่า ให้ทำการเปิดการแข่งขันโอลิมปิกปัจจุบันขึ้น โดยกำหนด 4 ปีต่อ 1 ครั้ง โดยให้ประเทศสมาชิกหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันเป็นเจ้าภาพ แต่การเปิดแข่งขันครั้งแรกให้เริ่ม ณ กรุงเอเธนส์ ใน พ.ศ. 2439 (ค.ศ. 1896) เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งการกำเนิดกีฬาโอลิมปิกเมื่อครั้งโบราณ จากนั้นเป็นต้นมา การแข่งขันและวิธีเล่นกรีฑาก็พัฒนาไปอย่างกว้างขวาง และการแข่งขันทุก ๆ ครั้ง ให้ถือเอากรีฑาเป็นกีฬาหลัก ซึ่งจะขาดเสียมิได้ในการแข่งขันแต่ละครั้ง

ข้อมูลจาก
th.wikipedia.org


เจ้าภาพ

การกำหนดว่าประเทศใดจะได้เป็นเจ้าภาพในครั้งต่อไปนั้น กระทำขึ้น ณ สถานที่ที่การแข่งขันครั้งล่าสุดดำเนินอยู่นั้นเอง คณะกรรมการโอลิมปิกสากลจะพิจารณาบรรดาประเทศสมาชิกที่เสนอขอจัด และมีอำนาจเด็ดขาดที่จะลงมติให้ประเทศใดเป็นเจ้าภาพ ซึ่งจะประกาศให้ทราบอย่างเป็นทางการในวันพิธีเปิดการแข่งขันครั้งล่าสุดนั้น ประเทศที่ได้รับพิจารณาให้เป็นเจ้าภาพถือได้ว่าเป็นเกียรติอย่างสูงที่ได้ รับความไว้วางใจ อันก่อให้เกิดความภาคภูมิใจต่อปวงชนทั้งประเทศ


สมาชิก

ในปัจจุบัน ประเทศทั่วโลกเป็นสมาชิกโอลิมปิก 197 ประเทศ แต่บางประเทศไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขัน เพราะเป็นประเทศเล็ก ขาดความพร้อมในเรื่องตัวนักกีฬา ท่านบารอน ปิแอร์เดอ ดูเบอร์แตง ได้ให้นิยามการเข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิกว่า ผู้เข้าร่วมการแข่งขันนั้นไม่เลือกผิวพรรณ ศาสนา ลัทธิการปกครอง แต่อย่างใด ความหมายการแข่งขันเพื่อให้นักกีฬาชาติต่าง ๆ ได้มาร่วมชุมนุมกัน ตัวนักกีฬาเปรียบเสมือนทูตสันถไมตรีส่งมาเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ ร่วมเล่นสนุกสนานด้วยความเห็นอกเห็นใจ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ตลอดทั้งสร้างความเข้าใจอันดีต่อกัน อันนำมาซึ่งความสามัคคีและเพื่อสันติภาพของโลก การแพ้หรือชนะไม่ใช่สิ่งสำคัญ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ “การเข้าร่วม”


รางวัล

รางวัลของการแข่งขันในสมัยโบราณผู้ที่ชนะจะได้รับการสรรเสริญมาก รางวัลที่ให้แก่ผู้ชนะในสมัยนั้น คือ กิ่งไม้มะกอกซึ่งตัดมาจากยอดเขาโอลิมปัส อันเป็นที่สิงสถิตของพระเจ้าซีอูซ แล้วทำเป็นวงคล้ายมงกุฎ จักรพรรดิจะเป็นผู้พระราชทานครอบลงบนศีรษะของผู้ชนะนั้น ๆ พร้อมทั้งได้สร้างอนุสาวรีย์ไว้ให้ชนรุ่นหลังศึกษาและชื่นชมต่อไป

สำหรับการแข่งขันโอลิมปิกสมัยปัจจุบันแบ่งรางวัลเป็นสามระดับ คือ เหรียญทอง, เหรียญเงิน และเหรียญทองแดง ให้แก่ผู้ชนะเลิศ, ผู้ชนะเลิศที่สอง และที่สามตามลำดับ ส่วนอันดับที่สี่ไปถึงอันดับที่หก จะได้ประกาศนียบัตรการเข้าร่วมการแข่งขัน


คบเพลิงโอลิมปิก



ก่อนกีฬาโอลิมปิกหลายเดือน จะมีผู้วิ่งถือคบเพลิงโอลิมปิกจากเขาโอลิมเปียมาสู่พิธีเปิดโคมไฟโอลิมปิก เมื่อมีการแข่งขันโอลิมปิกจะมีการจุดไฟกองใหญ่ขึ้นบนยอดเขาโอลิมปัส เพื่อให้ความสว่างไสว และเพื่อเป็นสัญญาณประกาศให้คนทั่วไปได้ทราบว่า การเฉลิมฉลองได้เริ่มขึ้นแล้ว พิธีการจุดไฟนั้น เริ่มแรกทำบนยอดเขาโอลิมปัส โดยใช้แว่นรวมแสงอาทิตย์ไปยังเชื้อเพลิง เมื่อติดไฟแล้ว จึงนำตะเกียงต่อเอาไว้ ไฟกองใหญ่จะคงลุกโชติช่วงต่อไปจนตลอดงานฉลอง ส่วนตะเกียงนั้นจะมีการวิ่งถือไปทั่วทุกนครรัฐ ด้วยการส่งต่อกันไปเป็นทอด ๆ จากนักวิ่ง คนละ 2 ไมล์ หากผ่านทะเลหรือแม่น้ำก็จะลงเรือข้ามฟากโดยไฟไม่ดับ ไฟนี้ชาวกรีก ถือว่าเป็นไฟศักดิ์สิทธิ์ และความสงบสุขของชาวกรีก ซึ่งพระเจ้าจะทรงพระพิโรธต่อบุคคลที่ไม่สนใจในกิจการนี้

โอลิมปิกปัจจุบันก็ยังคงรักษาประเพณีเรื่องการจุดไฟไว้ดังเดิมทุกประการ กล่าวคือ ก่อนจะมีการแข่งขันจะมีพิธีจุดไฟ ณ เขาโอลิมปัส ผู้จุดคือ สาวพรหมจารีย์ผู้บริสุทธิ์ เป็นผู้ต่อไฟจากแว่นรวมแสงของดวงอาทิตย์ด้วยคบเพลิง และไฟนี้จะถูกแจกจ่ายไปยังประเทศสมาชิกทั่วโลก และข้ามน้ำข้ามทะเลไปสู่ประเทศเจ้าภาพ และมีการวิ่งถือคบเพลิงส่งต่อกันไปจุดที่กระถางใหญ่บริเวณงานในวันแรกของ พิธีเปิดการแข่งขัน ไฟจะต้องไม่ดับตั้งแต่เริ่มจุด ณ ภูเขาโอลิมปัส จนกว่าจะสิ้นสุดการแข่งขันโอลิมปิกในครั้งนั้น ๆ


สัญลักษณ์โอลิมปิก


ธงโอลิมปิก

ธงโอลิมปิกธงโอลิมปิกมีผืนธงเป็นสีขาว ขนาดมาตรฐานยาว 3 เมตร กว้าง 2 เมตร ส่วนเครื่องหมายห้าห่วงคล้องกันอยู่บนกลางธง ขนาด 2 เมตร คูณ 0.60 เมตร มีสีฟ้า สีเหลือง สีดำ สีเขียว สีแดง ตามลำดับจากซ้ายไปขวา คล้องไขว้กันอยู่ตรงกลางสองแถว แถวบน 3 ห่วง แถวล่าง 2 ห่วง ห่วงสีที่คล้องกันอยู่ตรงกลางธงบนพื้นธงสีขาว รวมเป็น 6 สี โดยแท้จริงแล้ว ห้าห่วงหมายถึง ห้าส่วนของโลกที่อยู่ในโอบอ้อมของ “โอลิมปิกนิยม” มิเจาะจงเป็นห้าทวีปในโลกอย่างที่เข้าใจกัน แต่บังเอิญห้าทวีปนี้ก็เป็นห้าส่วนของโลกก็เลยอนุโลมกันไปเช่นนั้น ส่วนสีที่ห่วง 5 สี มิได้หมายถึงสีประจำทวีป ซึ่งสีทั้งหมด 6 สี รวมทั้งสีขาวที่เป็นพื้นธง หมายความว่า ธงชาติของประเทศต่าง ๆ ในโลกประกอบด้วยสีใดสีหนึ่งหรือมากกว่านั้นในจำนวนหกสีนั้น และไม่มีธงชาติของประเทศใดที่มีสีนอกเหนือไปจากหกสีนี้

ด้านล่างของห่วงมีคำอยู่ 3 คำ ซึ่งเป็นภาษาโรมัน แต่ละคำมีความหมายดังต่อไปนี้

Citius (swifter) : ความเร็ว ผู้เข้าร่วมการแข่งขันต้องวิ่งให้เร็วที่สุด
Altius (higher) : ความสูง ผู้เข้าร่วมการแข่งขันต้องทำให้สูงที่สุด
Fortius (stronger) : ความแข็งแรง ผู้เข้าร่วมการแข่งขันต้องมีความแข็งแกร่งที่สุด

กีฬาโอลิมปิกกับประเทศไทย
ประเทศไทยส่งนักกีฬาเข้าร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิกครั้งแรก ในการแข่งขันครั้งที่ 15 ณ กรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ ระหว่างวันที่ 19 กรกฎาคม -- 3 สิงหาคม ค.ศ. 1952 (พ.ศ. 2495) และได้เข้าร่วมแข่งขันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ยกเว้น การแข่งขันครั้งที่ 22 ณ กรุงมอสโก สหภาพโซเวียต (ประเทศรัสเซียในปัจจุบัน) เมื่อปี ค.ศ. 1980 (พ.ศ. 2523) เพราะปัญหาการเมืองระหว่างประเทศ ที่ไทยผูกพันกับสหรัฐอเมริกา จึงร่วมกันบอยคอตหรือคว่ำบาตร (Boycott) สหภาพโซเวียต ชาติมหาอำนาจของค่ายคอมมิวนิสต์ ทำให้กองทัพนักกีฬาไทยงดเว้นไม่เข้าร่วมแข่งขันในครั้งนั้น